นักศึกษาไทยในเกียวโต
เกียวโต เป็นเมืองหลวงเก่าหลังจากนารา ก่อนที่โชกุน Tokugawa Ieyasu จะทำการย้ายเมืองหลวงไปอยู่โตเกียวในสมัยเอโดะและได้เชิญองค์พระจักรพรรดิจากเกียวโตไปประทับ
ณ เมืองหลวงใหม่โตเกียว และใช้เป็นเมืองหลวงจนถึงปัจจุบัน
ระยะทางจากเกียวโตไปโตเกียวประมาณ 400 กิโลเมตร ใช้รถไฟหัวกระสุนประมาณ 2 ชั่วโมง
นั่งบัสใช้เวลา 8 ชั่วโมง ผมเคยนั่งแล้ว 3 ครั้ง แวะบ่อยมากๆ
เพราะเค้าจะพักเบรกทุกๆ 2 ชั่วโมงให้คนขับได้ยืดเส้นยืดสายตามกฎหมาย
ใครที่หวังจะนอนหลับบนรถเมล์ก็อย่าได้คาดหวังมาก สำหรับผม นอนไม่ได้เลยครับ
ที่เกียวโตมีแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรมมากมาย หาเปรียบไปก็คล้ายกับเมืองเชียงใหม่ที่ผมเคยเรียนและอาศัยอยู่ แต่ที่นี่จะติดระดับโลกมากกว่า ว่ากันคนที่มาเทียวญี่ปุ่น ถ้าอยากมาดูความเป็นญี่ปุ่นและรากเง้าจริงๆต้องมาที่เกียวโต ดังนั้นเกียวโตจึงเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศมากมาย เป็นแม่เหล็กให้ญี่ปุ่นดีๆนี่เอง นอกจากแหล่งท่องเที่ยวแล้วเกียวโตยังมีชื่อในเรื่องเมืองแห่งการศึกษา เพราะที่เกียวโตมีมหาลัยกว่า
30 แห่ง ขนาดแตกต่างกันไป ประเภทแตกต่างกันไป คนต่างชาติที่มีฐานะรวมทั้งไทย
ส่งลูกหลานมราเรียนภาษากันเยอะมากที่เมืองแห่งนี้ เป็นเพราะวัฒนธรรม ที่สั่งสมกันมาเป็นพันๆปีของที่นี่ สถานที่หลายแห่งได้รับยูเนสโก มีวัดเงิน วัดทอง
วัดน้ำใสที่คนไทยคุ้นเคย แล้วยังมีมหาลัยเฉพาะทางอีกมายมาย มีสถาบันสอนภาษา
มีมหาลัยที่เน้นเทคโนโลยีชื่อดังอย่าง KIT มีมหาลัยเอกชนชื่อดัง ได้แก่ Doshisha และ
Ritsumeikan นักเรียนไทยมาเรียนกันเยอะพอสมควร
ฐานะก็ต้องดีครับ เพราะเป็นของเอกชน ซึ่งแพงมากๆ มีเด็กสองสามคนในแลปเคยเรียนที่ Doshisha
เล่าให้ฟัง
ส่วนของผมมหาลัยเกียวโตเป็นของรัฐ
จะเน้นวิทยาศาสตร์ แพทย์และเทคโนโลยี แข่งกับ มหาลัยโตเกียว
มีเด็กไทยเรียนที่ประมาณปีละไม่เกิน 5-6 คน รวมๆแล้วไม่น่าจะเกิน30คน(ไม่แน่ใจ) จากทุกระดับตรี โท เอก หลังปริญญาเอก ส่วนใหญ่จะได้ทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ไม่งั้นก็รัฐบาลไทยส่งมาเรียน ส่วนใหญ่จะเรียนวิศวกรรม และสายแพทย์ มีหลายคนที่เขียนโปรแกรมช่วยในการทำงานซึ่งเป็นเครื่องมือปรกติแม้แต่ผมที่มีความรู้น้อยก็ยังต้องมาฝึกทำ เมื่อวานผมได้คุยกะรุ่นน้องคนไทย เค้ามารุ่นเดียวกันกับผม
เค้าเรียนอยู่อีกแคมปัสหนึ่ง(มีสามแคมปัส แต่ละแคมปัสห่างกันใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง โดยมีรถบัสมหาลัยให้บริการ)ชื่อ คัทซุระที่มีสายวิศวะอยู่ครับ แต่ผมอยู่ที่แคมปัสหลักชื่อ
โยชิดะ รุ่นน้องผมคนนี้เก่งมากๆ ตีพิมพ์ไปแล้วหนึ่งและกำลังจะตีอีกหนึ่งในระยะเวลาอันใกล้นี้
เขียนโปรแกรมโลจิสติกทางด้านวิศวะ คาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่าสามเปเปอร์
ซึ่งสายวิศวะส่วนใหญ่จะเน้นผลิตเปเปอร์ที่มากซึ่งเป็นตัวชี้วัด หากมีการพบหรือสร้างสรรค์อะไรใหม่ขึ้นมา
มีพัฒนาการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็จะตีพิมพ์เพื่อเผยแพร่ผลงานและเก็บเป็นตัวชี้วัดความสัมฤทธิ์ผล
ผมภูมิใจครับกับรุ่นน้องคนนี้
ภูมิใจแทนคนไทยด้วย และยังมีรุ่นน้องเก่งๆอีกหลายคนที่ตีพิมพ์ไปแล้วอย่างน้อยคนละหนึ่งเปเปอร์ในระยะเวลา
1ปีที่มาถึงนี้ ผมก็เลยขอความรู้จากเค้ามากมาย ถามถึงกระบวนการทำงาน ถามถึงวิธีคิด
เทคนิคในการทำงานให้ได้ผลงาน การแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ทั้งที่อายุน้องเค้าอ่อนกว่าผม
4 ปี แต่ประสบการณ์ที่เค้ามีช่วยผมได้เยอะ อายุไม่สำคัญครับ
อายุมากใช่ว่าจะรู้เรื่องวิจัยมากถ้าไม่เคยผ่านงานวิจัยมาจริงๆ ต้องยอมรับครับ
แต่ทุกอย่างเรียนรู้ได้ นับหนึ่งใหม่ได้ เปิดใจครับและยอมรับที่จะเรียนรู้
ส่วนงานทางวิทยาศาสต์ที่ผมกำลังช่วยอาจารย์ทำอยู่นี้
อาจารย์ผมบอกว่าต้องได้ข้อสรุป ไม่งั้นไม่ผ่านเกณฑ์ของคณะ
จะโดนโปรเฟสเซอร์คนอื่นโจมตีได้ง่ายๆ ไม่เน้นเปเปอร์ แต่ต้องมีอย่างน้อย 2 เปเปอร์
ผมก็งงๆครับ ตกลงคือต้องทำ แต่จะทันไม่ทันก็อีกเรื่อง
แต่ผมจะตั้งใจให้ทันสามปีให้ได้ครับ อาจารย์ของผมที่เป็นโปรเฟสเซอร์หลักมีเปเปอร์ไม่มากถ้าเทียบกับอาจารย์สายวิศวะ
ก็เพราะเค้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านอุตุนิยมวิทยา ถ้าไม่ได้ข้อสรุปจากทุกมุม
ทุกด้านในเรื่องที่เค้ากำลังทำอยู่ เค้าจะไม่ยอมตีพิมพ์
งานเลยดูน้อยเมื่อเทียบกับอาจารย์สายอื่น นี่คือความแตกต่างของงานสายวิทยาศาสตร์
กับงานสายวิศวะกรรมศาสตร์ ที่สัมผัสมานะครับ เพราะป.โทเป็นเรียนทางด้านวิศวกรรม
ผมจึงเข้าใจว่าอาจารย์ต้องการอะไร แต่พอป.เอกต้องปรับตัวพอสมควรกว่าจะเข้าใจสิ่งที่เป็นอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น