โครงการ
GCOE
นั้นเป็นโครงการของ
JSPS(Japan Society for the Promotion of Science) ที่ผ่านการอนุมัติด้วยกระทรวง ศึกษา วัฒนธรรม กีฬา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี Japan's Ministry of Education,
Culture, Sports, Science and Technology (MEXT) ชื่อกระทรวงยาวไหมครับ แล้วก็มีหลายหน่วยงานในกระทรวงนี้กระทรวงเดียวด้วย
เป็นกระทรวงที่ทรงอำนาจและพลังในแง่การขับเคลื่อนประเทศ
กำหนดทิศทางมันสมองของประเทศแบบรวมศูนย์ เท่าที่ผมดูนะ
แต่ก็ไม่รู้โครงสร้างจริงๆของเค้า เอ้าไว้วันหน้าจะศึกษามาเล่าให้ละเอียดกว่านี้ แต่ที่เคยคุยกับนักวิจัยญี่ปุ่นบอกว่า
ถ้าจะขอทุนวิจัยก็มีกระทรวงนี้ที่ให้ทุนเป็นประจำ
แล้วผมก็ได้ทุนนี้มาทำวิจัยป.เอกด้วย ขอบคุณครับ
โครงการGCOE เป็นโครงการที่ให้เงินสนับสนุนด้านการศึกษาและก่อตั้งศูนย์วิจัย เพื่อความเป็นเลิศในการแข่งขันในระดับนานาชาติของแก่มหาวิทยลัยญี่ปุ่น โดยจะสนับสนุนนักวิจัยรุ่นเยาว์ Young researcher ให้ได้ไปเป็นผู้นำของศาสตร์นั้นๆในอนาคตของโลก เช่นให้ทุนวิจัย ส่งนักวิจัยไปวิจัยในแลปต่างประเทศ ให้ทุนซื้ออุปกรณ์เครื่องมือ เป็นต้น
โครงการGCOE เป็นโครงการที่ให้เงินสนับสนุนด้านการศึกษาและก่อตั้งศูนย์วิจัย เพื่อความเป็นเลิศในการแข่งขันในระดับนานาชาติของแก่มหาวิทยลัยญี่ปุ่น โดยจะสนับสนุนนักวิจัยรุ่นเยาว์ Young researcher ให้ได้ไปเป็นผู้นำของศาสตร์นั้นๆในอนาคตของโลก เช่นให้ทุนวิจัย ส่งนักวิจัยไปวิจัยในแลปต่างประเทศ ให้ทุนซื้ออุปกรณ์เครื่องมือ เป็นต้น
แล้วที่ม.เกียวโตก็มีโครงการ
GCOE อยู่หลายโครงการโดยความร่วมมือของโปรเฟสเซอร์ในแต่ละกลุ่ม
ส่วนของผมสังกัดคณะวิทยาศาสตร์ ทางด้านภูมิอากาศวิทยา อาจารย์ผมสังกัด GCOE-ARS นำทีมโดยโปรเฟสเซอร์
Takara ชื่อเต็มๆ
“Sustainability/Survivability Science for a
Resilient Society Adaptable to Extreme Weather Conditions” ไว้หน้าจะเล่าให้ละเอียดกว่านี้
ผมจำต้องเรียนวิชาพื้นฐาน
3 วิชา แล้วต้องไปออกภาคสนาม ต้องเข้าร่วมโครงการซัมเมอร์สกูล ซึ่งยังไม่ได้ไปเลย
แล้วต้องไปฝึกงานอีก1เดือน ก็ยังไม่ได้ไปเหมือนกัน
อีกทั้งยังต้องเข้าสัมนาที่จะมีจัดประจำอย่างน้อยอีกแปดครั้ง ผมเก็บไปได้แล้ว 6
ครั้ง ถ้าทำได้จะได้ใบประกาศว่าผ่านโครงการนี้ ซึ่งจะเป็นความภูมิใจอีกอันหนึ่ง
แต่ก็ต้องดูเวลาด้วยว่าจะทันหรือไม่
วันศุกร์ได้เข้าไปฟังสัมนา
GCOE เค้ามาเสนอเรื่องการจัดการภัยพิบัติโคลนถล่มที่เกิดจากพายุ Talas เมื่อปีที่ผ่านมา 2011 ที่ Wakaya prefecture โดยมีด็อกเตอร์สองคนจบจากเกียวไดที่แลปของอาจารย์ Fujimoto เค้าทำงานให้หน่วยงานวิจัย MLIT
หน้าที่หลักคือประเมินพื้นทีเสี่ยงภัยดินถล่ม ออกประกาศเตือน
วิจัยเกี่ยวกับดินถล่ม ทำการสำรวจพื้นที่เสียหาย แล้วทำแผนที่เสี่ยงภัยออกสู่สาธารณะชน
วันนี้เค้าเอากระบวนการทำงานวิจัยมานำเสนอ พูดด้วยภาษาอังกฤษที่เก่งมาก เค้าชื่อ Takao Yamakoshi กับ Taro
Uchida เค้าเคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ Fujimoto มาก่อน พอจบการนำเสนอ ในช่วงซักถาม อาจารย์ของเค้าก็ถามว่าทำไมทำอย่างนั้นอย่างนี้
พร้อมทั้งเสนอแนวทางให้ว่าควรจะทำอย่างนี้จะดีไหม เค้าก็น้อมรับด้วยดี
ด้วยกริยาสุภาพตามมาตรฐานญี่ปุ่น แล้วก็ยอมรับโดยตรงว่างานเค้ากระบวนการยังไม่ดีจริงๆตามที่อาจาย์แนะนำ
แต่เค้าจะปรับปรุงให้ดีทันกับเวลาต่อไป
ส่วนรุ่นน้องในแลปก็ถามคำถามที่ทำให้สกิดใจและไอเดียคนมาเสนองานได้ ถามปัจจัยอื่นๆ ถามกระบวนการ วิจารณ์ผล ซึ่งผมว่านี่แหละคือประเทศพัฒนา ต้องกล้าที่จะเอางานของรัฐซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวกับสาธารณะกล้าเอามาให้นักวิจัย นักวิชาการ วิพากษ์วิจารณ์ เพื่อรับไอเดียใหม่ๆ รับคำติติง คำชมไม่ต้องการมาก เพราะเป็นแค่กำลังใจ แต่แนวทางการพัฒนาต่างหากที่ควรเอาไว้ เหล่านี้ก็มาจากการวิพากษ์ ต้องกล้ารับผิด ต้องกล้าเผชิญความจริง ต้องการมองและยอมรับความคิดเห็นในมุมที่ต่างกันไป แล้วอีกเรื่องคือ ถ้าเราเป็นลูกศิษย์หรือเป็นอาจารย์ใครแล้ว ที่ญี่ปุ่นต้องคงสถานะนั้นตลอดไป ลูกศิษย์ต้องเคารพอาจารย์เพราะอาจารย์มีงานวิจัยตลอด ไปเจอนักวิจัยทั่วโลก แล้วอาจารย์ก็จะเรียนรู้จากลูกศิษย์ที่จบไปแล้วด้วยว่าตอนนี้ในโลกปฎิบัติจริงเค้ามีปัญหาอะไรอยู่ แล้วแก้ปัญหากันยังไง ต่างคนต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกันนี่แหละจะพัฒนา
ส่วนรุ่นน้องในแลปก็ถามคำถามที่ทำให้สกิดใจและไอเดียคนมาเสนองานได้ ถามปัจจัยอื่นๆ ถามกระบวนการ วิจารณ์ผล ซึ่งผมว่านี่แหละคือประเทศพัฒนา ต้องกล้าที่จะเอางานของรัฐซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวกับสาธารณะกล้าเอามาให้นักวิจัย นักวิชาการ วิพากษ์วิจารณ์ เพื่อรับไอเดียใหม่ๆ รับคำติติง คำชมไม่ต้องการมาก เพราะเป็นแค่กำลังใจ แต่แนวทางการพัฒนาต่างหากที่ควรเอาไว้ เหล่านี้ก็มาจากการวิพากษ์ ต้องกล้ารับผิด ต้องกล้าเผชิญความจริง ต้องการมองและยอมรับความคิดเห็นในมุมที่ต่างกันไป แล้วอีกเรื่องคือ ถ้าเราเป็นลูกศิษย์หรือเป็นอาจารย์ใครแล้ว ที่ญี่ปุ่นต้องคงสถานะนั้นตลอดไป ลูกศิษย์ต้องเคารพอาจารย์เพราะอาจารย์มีงานวิจัยตลอด ไปเจอนักวิจัยทั่วโลก แล้วอาจารย์ก็จะเรียนรู้จากลูกศิษย์ที่จบไปแล้วด้วยว่าตอนนี้ในโลกปฎิบัติจริงเค้ามีปัญหาอะไรอยู่ แล้วแก้ปัญหากันยังไง ต่างคนต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกันนี่แหละจะพัฒนา
ถามว่าบ้านเรามีอย่างนี้ไหม
เคยมีคนในวงการของรัฐเอากระบวนการมาให้อาจารย์ นักวิจัยที่สนใจเรื่องที่ตัวเองกำลังทำอยู่
วิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ ทำไมไม่ทำละครับ
ไม่มีใครทำงานเพียงหน่วยงานเดียวได้ถูกต้องครับ ต้องอาศัยหลายๆมุมในการวิพากษ์
แล้วมาลองปรับงานดู ต้องวิจัยงานที่กำลังทำอยู่ ลองหลายๆวิธี ผิด ก็ต้องยอมรับ
ว่ามันผิด แล้วก็ปรับปรุงไปตลอด ไม่ใช่ว่าทำมาตั้งแต่สมัยร.5 ก็คงระบบนั้นตลอดไป ผมมักได้ยินคำว่า “อย่าไปทำเลย ทำแล้วมันจะดีหรือ
ผมคิดว่ามันไม่น่าจะได้นะ ทำไปก็แค่นั้น” คำพูดบั่นทอนเหล่านี้ก็ได้แค่พูด แต่อย่าไปเชื่อครับ
ลองทำดูในสิ่งที่เราสงสัย สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่เราคิดไว้
มันอาจจะเป็นไปได้เมื่อเราลองทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น