ในฐานะที่เป็นนักศึกษาป.เอกของคณะวิทยาศาสตร์โดยบังเอิญ
และมีเพื่อนรุ่นน้องหลายคนเป็นนศ.ป.เอกของวิศวกรรม ที่ไม่ว่าจะเรียนสาขาไหนจะต้องตีพิมพ์ผลงานให้ได้เพื่อเป็นตัวชี้วัดความสัมฤทธิ์ผลทางการศึกษาแบบฉบับญี่ปุ่น ที่อื่นก็คงคล้ายๆกัน
แต่ที่อังกฤษรู้ว่ามาว่าด็อกเตอร์ที่จบไม่จำเป็นต้องตีพิมพ์ก็ได้ ทางโน้นเค้าจะดูเนื้องานและวิทยานิพนธ์เป็นหลัก
ก็เลยถามรุ่นพี่ป.เอกว่าเคยได้ยินไหมว่านศ.ป.เอกของสาขาวิศวกรรมนั้นมีผลงานตีพิมพ์เยอะมาก
รุ่นพี่คนนี้อยู่ปี 3 คณะวิทยาศาสตร์เดียวกันบอกว่า ตีพิมพ์ไปแล้ว1เปเปอร์ บอกว่าเป็นธรรมดาและเป็นวัฒนธรรมการทำงานของสาขาวิศวกรรมที่จะตีพิมพ์งานเยอะ
เพราะถ้าเค้าเจออะไรใหม่ หรือทดลองอะไรใหม่ เช่น สร้างโปรแกรมมาหนึ่งโปรแกรมเพื่อทดสอบโมเดลแล้วนำข้อมูล
A กับ B มาทดสอบโปรแกรม อย่างนี้ก็สามารถนำผลที่ได้มาตีพิมพ์สองเปเปอร์ได้แล้ว
หรือ นำโปรแกรมที่ได้มาพัฒนาให้ดีขึ้น ถ้ามีการปรับปรุงคุณภาพของผลจากค่าสถิติอย่างนี้ก็ถือว่าตีพิมพ์ได้
ทำให้ป.เอกสาขาวิศวกรรมส่วนใหญ่เปเปอร์จะอยู่ที่
มากกว่า 2-3เปเปอร์ รุ่นพี่เล่าว่าที่ม.โตเกียวมีเพื่อนที่รู้จักตอนจบเอกตีพิมพ์ผลงานทั้งหมดเกือบ
10 เปเปอร์ นี่คือวัฒนธรรมการทำงานของสาขาวิศวกรรม แล้วสาขานี้จะมีงานคอนเฟอร์เร้นท์บ่อยมากทั้งในและต่างประเทศ
โดยแต่ละงานก็มีโอกาสตีพิมพ์ผลงานเพราะถ้างานเข้าตาจะถูกทาบทามให้ตีพิมพ์ผลงานได้ อาจจะต้องขยายหรือเพิ่มงานบ้าง
แล้วแต่กรณีไป
ส่วนงานวิทยาศาสตร์ รุ่นพี่และอาจารย์บอกว่า
ถ้าใครตีได้ 3 เปเปอร์แสดงว่าสุดยอด แล้วส่วนใหญ่จะต้องเป็นนักศึกษาที่เรียนต่อเนื่องคือโทเอกสาขาเดียว
โดยเอางานป.โทมาขยายผลเพื่อตีพิมพ์ เพราะงานสาขาวิทยาศาสตร์นั้น ต้องตีแผ่ ค้นหา อธิบาย
วิเคราะห์ สังเคราะห์กระบวนการธรรมชาติให้แน่ชัด ต้องทำให้ได้ข้อสรุปอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่ชัดเจนที่
ปีนี้มีรุ่นพี่คนนึงเค้าจบจากแลปที่ผมอยู่ คนนี้อยู่แลปนี้มาตั้งแต่ป.ตรี แล้วเอางานป.โทมาขยายต่อเป็นเปเปอร์แรกสุดท้ายได้
3 เปเปอร์ เลยได้รับรางวัลนักศึกษาดีเด่นของคณะวิทยาศาสตร์พร้อมทั้งได้ทุนไปทำวิจัยหลังป.เอกที่เคมบริดจ์อีกสองปี
สุดยอดครับ
เข้าใจแล้วครับ ^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น