วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

ทำอย่างให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว


ทำอย่างให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

ช่วงสองอาทิตย์นี้ผมเดินทางไปดูบ้านเมืองญี่ปุ่นติดกันเลย เพราะเป็นช่วงดอกไม้บาน ดอกซากุระน่ะครับ นั่งรถไฟไป ก็คิดไป หลายเรื่องหลายราว อ่านหนังสือวินทร์ เรียววารินทร์ จบไปสามเล่มระหว่างการนั่งรถไฟ ไปเที่ยวดูปราสาท Himeji jo และเมื่ออาทิตย์ก่อนไป Wakayama ด้วยตั๋ว Kansai pass เห็นบ้านเมือง เห็นคน เห็นความเจริญที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจ ของคนทุกระดับที่นี่แล้ว ก็น่าชื่นชม จนอยากเห็นบ้านเมืองเราเจริญอย่างเค้าบ้าง จะได้ไม่น้อยหน้าใคร และจะได้พูดได้เต็มปากว่าบ้านเมืองเราเจริญเพราะบรรพบุรุษเราปกป้องบ้านเมืองไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นหรือแพ้สงคราม 
ไม่มีใครที่เคยมาอยู่ หรือมาท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วปฎิเสธว่าที่นี่ ประเทศนี้ไม่ใช่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งวัตถุ คน จิตใจ(ของคนในโลกสมัยใหม่) ล้วนแล้วแต่จัดว่าอยู่สูงกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชีย แล้วคนญี่ปุ่นที่ผมรู้สึก ก็ไม่ได้เรียกตัวเองว่าคนเอเชีย เค้าเรียกพวกประเทศอย่างเราว่าเอเชีย อาจเป็นเพราะเค้าเป็นเกาะที่แยกตัวออกไป หรืออาจเป็นเพราะไม่อยากถูกจัดกลุ่มเป็นพวกเดียวกับเรา

ประเทศไทยของเรา ในความคิดของผม ถ้าต้องการให้พัฒนาทันกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ต้องกระจายและยกระดับคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งการศึกษาให้ทั่วทั้งประเทศให้เร็วที่สุด ตอนนี้พวกเรากำลังทำอยู่ซึ่งเป็นแนวทางที่กำลังไปได้ดี แม้ว่าจะเน้นเชิงปริมาณก่อน กระจายมหาลัยไปทั่วให้ทุกภูมิภาค ทุกพื้นที่ เน้นปรัชญาการเรียนรู้ด้วยตนเอง การพึ่งตนเอง การหาแหล่งความรู้ด้วยตนเองให้มาก ไม่ใช่เอาแต่เฟสบุ๊ก บันเทิง หรือดูแต่ยูทูปที่เน้นบันเทิง จริงๆยูทูปมีประโยชน์มากๆ ก็ดาบสองคมถ้า คนใช้ไม่มีหลัก มันก็ทำลายตัวคนใช้เอง จะเห็นว่าเราสามารถเรียนหรือหาความรู้เพิ่มเติมจากยูทูปได้ อย่าง MIT มีกลุ่มอาจารย์และติวเตอร์มาสอนเรื่องคณิตศาสตร์แคลคูลัส เป็นต้น เราหาแหล่งความรู้ได้ตลอด จากอินเตอร์เนต หากต้องการรู้จริงๆ เราต้องกรองข้อมูลข่าวสารให้เป็น ซึ่งก็ยังไม่มีใครในบ้านในเมืองที่ออกมาอธิบายถึงหลักการกรองข้อมูลข่าวสาร ไม่งั้นบ้านเมืองคงสงบกว่านี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ เรื่องตรรกะ ถ้ามีและฝึกฝนมัน สิ่งนี้ก็คือหลักในการกรองข้อมูลแล้วล่ะ

บ้านเราต้องพยายามยกระดับความรู้ในเชิงคุณภาพให้กับคนที่ไม่รู้ให้ได้มากที่สุด ถ้าหากเราทำให้คนที่ไม่ใช่คนกรุงเทพ รอบรู้ได้เท่าหรือใกล้เคียงคนในกรุงเทพ ณ ตอนนี้ได้ ประเทศเราก็จะถูกจัดเป็นประเทศพัฒนาในไม่ช้า ทำอย่างไรคนต่างจังหวัดปรับตัวได้ไว ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ทันต่อการแข่งขัน รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ตื่นตัว ได้เท่ากับคนกรุงเทพ เพราะที่ญี่ปุ่นไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่ไหน คุณก็สามารถเข้าถึงข่าวสารได้อย่างเท่าเทียมกัน แม้ว่ามันจะมีปัญหาคล้ายคลึงกับเมืองไทย แต่สเกลความไม่เท่าเทียม เมื่อเทียบไทยแล้ว เค้ามีช่องว่างน้อยกว่าเราเยอะ ทำอย่างไรเราจะลดช่องว่างเหล่านี้ได้ ผมคิดว่าคำตอบคือ การกระจายการศึกษาที่มีคุณภาพ การกระจายหลักการเรียนรู้ทั้งนอกและในระบบ(เรามีอยู่แล้ว มหาลัยเปิด) การกระจายแหล่งงาน (มหาลัยต่างจังหวัดเยอะขึ้นในปัจจุบัน แต่เด็กจบแล้วก็ต้องเข้าเมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่)

เรื่องภาษาอังกฤษทางด้านวิชาการ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างเร่งด่วน หมายถึงภาษาอังกฤษที่เน้นคุณภาพ ใช้งานได้จริงๆในการอ่านงาน จะได้เปิดโลกกว้างๆจริงๆซะที บ้านเราตำราไม่ได้มีมากและลึกเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว ญี่ปุ่น เยอรมันเป็นต้น ฉะนั้นเราต้องฝึกให้เด็กอ่านภาษาอังกฤษให้ได้ เอาความรู้โดยตรงจากแหล่งความรู้ แล้วก็แปลตำราภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยไปพร้อมๆกัน เหมือนที่กำลังทำอยู่ ต้องรีบและเร่งให้เร็ว ก่อนที่เราจะพ่ายในศึกการเปิดเสรีอาเซียนในปี 2558 เราจะป้องกันแรงงานหัวกระทิของเราไม่ให้ไหลไปประเทศสิงคโปร์มาเลย์อย่างไร แล้วเราจะเอาความรู้จากแรงงานหัวกระทิ หรือดึงดูดแรงงานหัวกระทิจากประเทศอาเซียนให้มาพัฒนาประเทศของเราได้อย่างไร ในเมื่อภาษาอังกฤษเชิงคุณภาพของเรายังไม่รุดหน้าอย่างเร็วเท่าที่โลกกำลังหมุนไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น