วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

แบบอย่างที่ดีงาม ท่านดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ

ดูท่าน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ แล้ว ในบางครั้งที่จิตตก ก็สามารถช่วยให้จิตใจผ่องใสและกลับมามีกำลังใจได้ในระดับเดิม ขอบคุณสำหรับความดีที่่ท่านทำ ขอบคุณครอบครัวของท่าน ที่มอบสิ่งดีงามให้ไม่เพียงแก่คนไทย คนมุสลิม คนอาเซียน แต่รวมไปถึงให้กับโลกที่สวยงามแห่งนี้อีกด้วย



ดูตรงช่วงที่คุณแม่ของดร.สุรินทร์ให้สัมภาษณ์แล้ว ไม่แปลกใจที่ทำให้ท่านเป็นท่านในวันนี้


"ตั้งแต่คุณตา คุณแม่ คุณพ่อ ท่านสอนอยู่ตลอดเวลาว่า เราไม่ได้อยู่เพื่อตัวเอง เราทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อที่จะเผื่อแผ่ให้คนอื่น ไม่ว่าสิ่งที่จะเผื่อแผ่นั้นจะเป็นทรัพย์สินซึ่งเราไม่มีมาก แต่ในเรื่องของโอกาส หรือบางครั้งเป็นแต่เพียงตัวแบบ เป็นโมเดลให้กับคนอื่น ว่าเราไปจากตรงนี้ ว่าเราเรียนจากตรงนี้ เกิดที่นี่ แต่เราสามารถจะก้าวไปสู่สังคมที่กว้างขึ้น..."

"ถ้าเราเอาจริงซะอย่าง ถ้าเราสู้จริง ถ้าเราพยายามจริง ทุกอย่างจะเกื้อกูล และจะอำนวย ไม่ใช่ทุกชีวิตจะทำได้แต่อย่างน้อยๆ มันพิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่คุณคิดว่ามันเป็นอุปสรรค และทำไม่ได้ มันไม่จริง.."


วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

เงินเดือนของอาจารย์มหาลัยในไทย


เงินเดือนของอาจารย์มหาลัยในไทย



เมื่อวานภรรยาผมเล่าให้ฟังว่าลูกพี่ลูกน้องของเค้าพึ่งจะสำเร็จการศึกษาเกี่ยวกับวิศวกรรมแหล่งน้ำในระดับปริญญาตรี ณ มหาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งในกทม. ตอนนี้ได้เข้าทำงาน ณ สำนักงานปะปาแห่งหนึ่งด้วยเงินเดือนเริ่มต้นที่ 2 หมื่นกว่า ผมก็พลอยดีใจไปกับความสำเร็จของญาติภรรยาไปด้วย ภูมิใจกับความมานะบากบั่นแทนพ่อแม่ของน้องเค้า แต่พอหันกลับมามองเงินเดือนอาจารย์ที่ผมได้รับในตอนแรกเดือนแรกเมื่อ 2 ปีก่อนนั้นได้ 1.5 หมื่นบาท กับวุฒิปริญญาตรีเกียรตินิยม และวุฒิปริญญาโทจากประเทศเยอรมันที่ได้รับมาด้วยการแข่งขันทุนจากรัฐบาลเยอรมัน ถามว่าผมรู้สึกอย่างไร ก็บอกตามตรงรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมและการให้ความสำคัญของคนไทยในอาชีพครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะอาชีพครูในระดับมหาลัยที่ต้องสอนเด็กเพื่อเป็นกำลังของชาติ อีกทั้งเด็กเหล่านี้บางคนจะกลายเป็นครูในแต่ละระดับไม่ว่าจะมัธยม ประถม แล้วส่วนใหญ่ก็จะเข้าไปทำงานในสายงานไม่ว่าจะเอกชนหรือของรัฐ ซึ่งปัจจุบันล้วนแล้วได้รับค่าตอบแทนเท่าเงินเดือนอาจารย์ใหม่ในระดับปริญญาโท ซึ่งมันก็ควรจะเป็นรายได้ที่เด็กๆพวกนี้ควรจะได้รับ ซึ่งผมก็เข้าใจเพราะผมเคยทำงานเอกชนมาก่อน5 ปีก่อนมาเป็นอาจารย์ เพราะอยากเป็น อยากปั้น อยากสร้าง อยากเห็น การเปลี่ยนแปลงเล็กๆที่คนตัวเล็กๆจะทำได้ ถ้าหากอยากรวยหรือมีเงินเหลือใช้คงจะไปทำเอกชนแล้วหลังจากจบป.โทปี2009 ซึ่งมีหลายบริษัทหรือหน่วยงานข้ามชาติอ้าแขนรับและต้องการบุคลากรด้านนี้ แล้วผมก็มีอิสระในการเลือกด้วยเนื่องจากได้ทุนที่ไม่มีข้อผูกมัน แต่เป้าหมายก็ต้องเป็นเป้าหมาย ทุกคนต้องมีจุดยืนหรือส้นเท้าเป็นของตัวเองครับ^^ เพราะผมต้ังใจไว้ก่อนไปเยอรมันแล้วว่าถ้าจบกลับมาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะขอทำงานเป็นอาจารย์ แม้ว่าจะเริ่มตอนอายุเยอะแล้วก็ตาม และต้องทำใจว่าคนเราไม่มีทางจะได้อะไรเท่าเทียมกัน เพราะเกิดมาก็ไม่ได้เท่าเทียมกันอยู่แล้ว แต่พอตายไปฝากอะไรดีๆไว้กับโลกที่เราเคยอยู่บ้าง นั่นต่างหากคือสิ่งที่ผมคิด

ซึ่งในฐานะที่เป็นอาจารย์เมื่อเห็นลูกศิษย์ได้งานและมีเงินเดือนที่พอเลี้ยงตัวเองและส่งเสียครอบครัวได้ก็จะมีความภูมิใจระดับหนึ่ง แต่พูดถึงรายได้อาจารย์ควรจะต้องมีการทบทวนหันมาเพิ่มสวัสดิการ หรือ สร้างแรงจูงใจให้มากกว่านี้ ถึงจะได้คนที่เก่งหันมาเป็นอาจารย์ แต่ถ้าคนเก่งแต่เอาตัวเงินเป็นที่ตั้งโดยไม่ได้มีอุดมการณ์จะพัฒนาสังคมจริงๆ ก็อย่างมาเป็นอาจารย์เลยครับ ถ้าหากมาเป็นอาจารย์แล้วรับจ๊อบหรืองานนอก เพื่อหวังมีรายได้ แล้วอย่ามาบอกว่าเงินไม่พอ ทำไมไม่ทำตำแหน่งวิชาการ ขยันทำวิจัย หรือไม่งั้นก็เอาความรู้ที่มีอยู่และภาษาที่เชื่อว่าเป็นอาจารย์น่ะเก่งอยู่แล้วมาแปลตำรา ไม่มีอะไรทำก็แปลตำราซิครับ เหมือนอาจารย์ของผมท่านหนึ่งเป็นศาสตราจารย์แปลตำราเกือบยี่สิบเล่ม ใครจะอ่านไม่อ่านไม่สนใจขอให้แปลไว้ก่อน แต่ละเล่มผมอ่านดูก็คุณภาพนะครับเพราะท่านจบโทเอกที่อเมริกา อาจารย์และครูต้องเป็นแบบนี้

แต่ถึงอย่างไรคนไทยทุกคน รัฐบาล และมหาลัยต้องสนใจเรื่องสวัสดิการ ค่าจ้าง เงินเดือนและค่าตอบแทนให้กับอาจารย์มากกว่านี้ ถ้าพูดอย่างนี้อาจารย์ที่เป็นข้าราชการจะโต้แย้งและด่าผมแรงกลับมาว่าเค้าก็ได้เงินเดือนน้อย บางทีน้อยกว่าอาจารย์ใหม่ที่เป็นพนักงานมหาลัยอีก มันก็มีเหตุและผล นี่ก็อีกประเด็นครับ คงจะต้องถกเรื่องนี้ในบทความอื่นเพราะไม่ใช่จุดมุ่งหมายของบทความนี้ แต่ก็เข้าใจว่าการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของไทยขณะนี้เป็นช่วงรอยต่อการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ผมก็เห็นใจอย่างมากและเข้าใจท่านครูบาอาจารย์ที่มีตำแหน่งข้าราชการ จู่ๆเด็กใหม่มาถึงเงินเดือนเริ่มต้นมันก็มากกว่าที่เค้ากำลังได้รับแล้ว จะมีสาเหตุมาจากอะไรก็แล้วแต่ เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วก็ต้องเดินต่อ ไม่อยากให้มาเถียงกันแต่ต้องเอาใจใส่นะครับในรายละเอียดของสวัสดิการ นี่ก็คือปัญหาหนึ่งที่ผมเจอหลังจากอาจารย์ที่มีตำแหน่งข้าราชการเริ่มไม่มีการรับเข้าแล้วมีแต่อาจารย์ตำแหน่งพนักงานมหาลัย ไม่ว่าคุณจะเก่งหรือไม่เก่งคุณเข้ามายุคนี้คุณก็จะเป็นอาจารย์ตำแหน่งพนักงานมหาลัย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะขัดขวางการไปถึงเป้าหมายของการเป็นครูที่ดีของผมครับ ไม่รู้จะทำได้หรือไม่ ผมเชื่อว่าทุกคนทีเป็นอาจารย์ก็มีเป้าหมายคล้ายคลึงกัน

แต่อย่างไรก็แล้วแต่อาจารย์ก็ต้องมีความสมถะ ให้สมกับภาพที่สังคมอยากจะให้เป็น^^’  ขยันหาความรู้ใหม่ๆ ติดตามกระแสความก้าวหน้าในวงการวิชาการของตัวเอง อัพเดตตลอด ขยันทำวิจัย แปลเรียบเรียงตำราวิชาการหรือแบบการสอน ความรู้อะไรจะได้มาฟรีๆหรือประหยัดทรัพยากรเงินตราก็รีบไขว่คว้า ขยันและใส่ใจในการสอน งานบริหารของภาควิชาก็ต้องช่วยเพราะถึงวันหนึ่งก็ต้องทำหน้าที่บริหารนั้นเมื่อถึงเวลาจะได้ทำได้ บริหารให้ภาควิชาเจริญขึ้น แล้วอาจารย์เด็กก็ต้องรู้จักบุญคุณของผู้มีบุญคุณ โดยจะต้องตอบแทนบุญคุณนั้นเพื่อสร้างประโยชน์ให้ส่วนรวมโดยไม่เบียดบังความเจริญก้าวหน้าที่วิชาการของตัวเอง เห็นไหมล่ะครับว่างานอาจารย์ไม่ได้ง่ายเลยนะครับ ใครใครก็เป็นได้ แต่จะเป็นอาจารย์ที่ดีได้จะมีสักกี่คนที่ไปถึงจุดนั้น ผมก็หวังว่าผมจะไปถึงจุดนั้น(จุดเป้าหมายของผมเองไม่เกี่ยวกับใครครับ)

 ลองอ่านกระทู้นี้จากพันทิพย์ ดุเด็ดเผ็ดมันส์ หลากหลายความคิดเห็นเกี่ยวกับเงินเดือนอาจารย์ครับ แต่นี่แหละคือคน ไม่มีใครมองได้ครบทุกมุมครับ 
บทความนี้เขียนโดยอาจารย์มหาลัย

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

แนะนำสถาบันสอนโฟโตแกรมเมตรีและภูมิสารสนเทศ



แนะนำสถาบันสอนโฟโตแกรมเมตรีและภูมิสารสนเทศ

ผมเคยโชคดีได้รับทุนรัฐบาลเยอรมันไปเรียนปริญญาโทหลังจากทำงานมาแล้วห้าปีในสายโฟโตแกรมและภูมิสารสนเทศ ณสถาบัน HFT- Stuttgart ( Hochschule für Technik Stuttgart  or University of Applied Sciences Stuttgart)  ในสาขา Photogrammetry and Geoinformatics ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่ผมก็ได้เรียนภาษาเยอรมันสองเดือนเต็มเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ที่แห่งนี้เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ปี 1832 ถึงตอนนี้ 180 ปีพอดีครับ มีประวัติอันยาวนานเน้นการสอนทางวิศวกรรมเฉพาะทางเฉพาะหลักสูตรปริญญาตรีและปริญญาโท มีนักศึกษาไม่เยอะครับ 3300 คน แต่มีโปรเฟสเซอร์ที่มีประสบการณ์ถึง 100 ท่านแล้วแต่ละท่านก็มีงานวิจัยทั้งกับสถาบันการศึกษาและกับบริษัทที่เป็นที่ปรึกษา อย่างอาจารย์ของผมเป็นที่ปรึกษาให้บริษัท Inpho คอยออกแบบโปรแกรมโฟโตแกรมเมตรี อีกทั้งยังเป็น Editor ให้กับ ISPRS หรืออีกท่านก็จะเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัท Geomedia ทางด้านจีไอเอสคอยวางระบบโปรแกรมให้

 

 
หลักสูตรที่ผมไปเรียนมีแต่เด็กนักศึกต่างชาติจากทุกทวีปในโลกแต่แอฟริกาจะเยอะหน่อยส่วนใหญ่จะจบทางวิศวกรรมมาครับ มีทั้งโยธา สำรวจ คอมพิวเตอร์ แล้วก็มีพวกภูมิศาสตร์ที่เน้นเทคนิคและกายภาพไปเรียนด้วยก็รวมผมด้วยนี่แหละ แต่ก็เรียนทันกันครับก็ช่วยๆกันไป เพราะแต่ละคนก็มีประสบการณ์ทำงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 2ปีซึ่งเป็นข้อกำหนดของหลักสูตร แต่ส่วนใหญ่พวกนี้จะอายุประมาณ 32ปีกัน ผมนี่เด็กสุดแล้ว 27ปีในหมู่คณะมีคนเรียนในปีผม 22 คน โดยการเรียนการสอนจะมีลักษณะเป็นโมดูลคือในหนึ่งโมดูลจะได้เรียนหลากหลายวิชามากเช่น โฟโตแกรมก็จะมีทั้ง Analytical และ Digital ควบไปด้วยแล้วก็จะมีเสริมทั้งหลักการสำรวจด้วย Lidar แล้วก็จะมีภาคปฎิบัติที่เยอะมากๆๆๆ ผมออกจากหอพักประมาณ 8 โมง กลับอีกที สองทุ่ม ช่วงเช้าเรียน ช่วงบ่ายฝึกปฏิบัติ

ทางหลักสูตรจะจัดติวเตอร์ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่เก่งในการเขียนโปรแกรมมาปูพื้นฐานการเขียนโปรแกรมให้ซึ่งในเทอมสองจะต้องมีโปรเจกค์และวิชาที่ต้องเขียนโปรแกรมอีกเยอะ หรือใครจะเอาทำตัวจบก็ว่ากันไป เค้าสอนทั้ง VB และ Matlab แต่ถ้าใครที่คิดว่ามีพื้นฐานแล้วไม่ต้องเข้าก็ได้ ส่วนผมก็เข้าตลอดเพราะจะได้แน่นมากขึ้น แล้วฝึกฟังภาษาอังกฤษจากรุ่นพี่ไปด้วย เพราะพวกนี้เก่งภาษาอังกฤษมากๆ 

หลักสูตรนี้มีวิชาน่าสนใจเยอะมากเน้นหลัก PBL คือ Problem Based Learning ให้โจทย์ปัญหามาแล้วต้องหาวิธีการมาแก้ให้ได้ประสิทธิผลมากที่สุด จะเน้นทางด้านเทคโนโลยีการสำรวจด้วยภาพถ่ายทางอากาศมีวิชาเรียนด้วยกันสองวิชา คือวิชา ดิจิตอลโฟโตแกรมเมตรี กับ วิชา แอดวานซ์โฟโตแกรมเมตรี สอนโดยโปรเฟสเซอร์ Guhn อีกทั้งยังมีวิชา ดิจิตอลอิมเมจโพเซสซิ่ง ซึ่งเป็นวิชาที่ผมชอบมากเพราะจะต้องเขียนโปรแกรมประมวลผลข้อมูลราสเซอร์ด้วยแมทแลป ทำให้เข้าใจเบื้องต้นในการนำคณิตศาสตร์มาประมวลผล อาจารย์จะให้โปรเจกค์มาให้แล้วก็คอยปรึกษาปัญหาตลอด ผมได้ทำเรื่องการปรับแก้ค่า RPC ของดาวเทียม Quickbird สอนโดยโปรเฟสเซอร์ Hahn ผู้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ผมด้วยครับ ส่วนวิชาจีไอเอสโปรแกรมมิ่งก็น่าสนใจสอนโดยโปรเฟสเซอร์ Schroeder มีโปรเจกค์มาให้เหมือนกัน ผมเลือกเขียนโปรแกรมส่งออกแปลงข้อมูลจาก Geomediaไปเป็น KML ฟอร์แมท ส่วนวิชาเวปโปรแกรมมิ่งอันนี้ก็มีสอนแต่ไม่ได้เลือกที่จะทำโปรเจกค์ด้านนี้สอนโดย โปรเฟสเซอร์ Bahr
สิ่งที่น่าสนใจของหลักสูตรนี้มีเยอะมากไม่ว่าจะเป็น การฝึกปฎิบัติหรือ Praktikum สองสัปดาห์ในเรื่องจีไอเอสและโฟโตแกรม ที่นอกเหนือจากการฝึกในเทอมปรกติ โปเฟสเซอร์จะให้งานมาเป็นชิ้นๆ เช่น ทำแผนที่ด้วยภาพถ่ายทางอากาศพร้อมปรับแก้ค่าความถูกต้องให้ได้ค่าที่ยอมรับได้ หรือโปรเจกค์ปัญหาทางด้านจีไอเอสที่เลียนแบบของ ITC มานี้ก็น่าสนใจ

สิ่งที่น่าสนใจอีกคือ วิชาโปรเจกของโปรเฟสเซอร์ Hahn แมทแลปเพื่อแก้ปัญหาข้อมูลภาพอาจารย์เรียกวิชานี้ว่า Photo Studio แกจะยิ้มเพราะชอบกับชื่อนี้ เพราะเด็กจะต้องหัวปั่นกับโปรเจกหมกหมุ่นเหมือนอยู่ในสตูดิโอที่ทุกคนจะต้องเขียนแมทแลป ส่วนโปรเจกค์ทางด้านจีไอเอสของโปเฟสเซอร์Schroederและ Bahr นั้นก็แล้วแต่ว่าจะเลือก GIS customization หรือจะเลือก Webprograming 

หลักสูตรที่ผมเรียนดูได้ที่นี่นะครับ
ที่นี่มีห้องแลปที่ทันสมัยใช้ในการเรียนการสอน ดูได้ที่นี่
แล้วอาจารย์แต่ละท่านก็จะมีห้องแลปส่วนตัวที่เอาไว้สำหรับเด็กปริญญาโทตอนทำตัวจบด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นโฟโตแกรม รีโมทเซนซิ่ง หรือ จีไอเอสโปรแกรมมิ่ง ผมเลือกไปอยู่แลปรีโมทเซนซิ่งกับจีไอเอสโปรแกรมมิ่ง

หลักการสอนของติวเตอร์กับครูทั่วไป

หลักการสอนของติวเตอร์กับครูทั่วไป


ผมมาเปิดดูรายการ Tutor channel ของท่านจุรินทร์ที่เอาติวเตอร์ตามสถาบันดังๆมาสอนเมื่อครั้งสมัยที่ท่านยัง เป็นรมต.กระทรวงศีกษาแล้ว เข้าใจความแตกต่างหลายอย่างของติวเตอร์กับครูทั่วไปที่สอนในโรงเรียนครับ ที่คิดได้คือ
1.ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย โดยอาศัยเทคนิค กลเม็ด เคล็ดลับปลีกย่อยที่หากได้เรียนแล้วเข้าใจได้ง่าย
2.จิตวิทยา ในการสอน ติวเตอร์จะเชียร์และให้กำลังใจผู้เรียนพยายามเอาใจ และทำให้บรรยากาศเป็นกันเอง เช่นใช้ศัพท์วัยรุ่น ใช้คำแทนตัวเองว่าพี่ รู้สึกเป็นเองไม่มีช่องว่างระหว่างวัย มีการแซวกันกับเด็กๆ
3.น้ำเสียงฟังแล้วตื่นเต้น ไม่ง่วง รู้สึกสนุกเมื่อฟัง

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

ยกระดับการศึกษาเด็กต่างจังหวัด

ยกระดับการศึกษาเด็กต่างจังหวัด




ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยมากขึ้นในต่างจังหวัดเกิดขึ้นทุกภูมิภาคเริ่มจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศที่ตั้งในต่างจังหวัด มีม.ขอนแก่น ม.สงขลาเป็นหลักให้แก่ภูมิภาค ต่อจากนั้นก็มีมหาลัยตั้งใหม่ตามมาโดยอาจารย์ส่วนใหญ่ก็จะมาจากมหาลัยทั้งสาม รวมทั้งมาจากมหาลัยในกทม.บางส่วน เช่น ม.นเรศวรพิษณุโลก ม.พะเยาที่แยกตัวมาจากม.นเรศวร ม.แม่ฟ้าหลวง ม.มหาสารคาม ม.อุบล ส่วนทางภาคใต้ก็มีม.ทักษิณ ภาคตะวันออกก็มีม.บูรพา เป็นต้น นี่ก็เป็นแนวทางการพัฒนาประเทศที่กำลังไปได้ดีระดับหนึ่ง

ผมชอบคำพูดของอาจารย์อาวุโสในภาควิชาผมท่านหนึ่งมากๆ ท่านบอกว่า การให้การศึกษาแก่เด็กต่างจังหวัดนั้นเหมือนกันกับการที่เราเอาดินมาปั้นเป็นหม้อเพื่อเตรียมเผา ซึ่งไม่เหมือนกับเด็กที่เรียนมหาลัยชื่อดังในกทม.ที่เอาเพชรที่ยังไม่ได้เจียรไนมาทำการเจียรไนให้มีประกายงดงามขึ้นไปอีก แต่จากประสบการณ์ผมที่ผ่านมาอันน้อยนิด ผมเชื่อว่าเด็กต่างจังหวัดที่พวกเรากำลังปั้นอยู่นั้นไม่ได้เป็นดินเสมอไป แต่บางคนเป็นเพชรที่ถูกฝังอยู่ในดิน เพียงแต่รอช่างที่เข้าใจธรรมชาติมาเอาดินโคลนออกไปแล้วเอาไปเจียรไนให้เป็นเพชรเม็ดงาม แต่บางส่วนก็ยังเป็นดิน หิน ทราย แร่อื่นๆ ที่รอแปรรูป ไม่ว่าจะเอาไปปั้น เผา หรือเจียรไน

เด็กต่างจังหวัดที่เจอจะมีความหลากหลายมากหรือว่ามีค่า standard deviation ที่สูง ถ้าเป็นเด็กที่เรียนในตัวจังหวัดก็จะมีมาตรฐานสูงกว่าเด็กที่เรียนในโรงเรียนประจำอำเภอโดยส่วนใหญ่ในปีแรกๆ แต่พอผ่านไปในปีท้ายๆ ก็แล้วแต่ละบุคคลว่าพัฒนาตัวเองได้มากเท่าไหร่ เด็กที่มาจากโรงเรียนประจำอำเภออาจจะถีบตัวเองแซงหน้าเด็กมาจากโรงเรียนประจำจังหวัดก็มีให้เห็นครับ ถ้าเราเปรียบเปรยว่าเป็นวัตถุดิบ มีตั้งแต่ ดิน หิน ทราย กรวด แร่ พลอย ไพลิน เพชร โดยในแต่ละชนิดก็จะมีคุณภาพไม่เท่ากัน ซึ่งแต่ละวัตถุดิบสามารถข้ามเปลี่ยนสถานะของตัวเองได้ ถ้าได้รับการอบรม การศึกษาแล้วตัวเด็กเองมีความตั้งใจพัฒนาตัวเอง ผมเชื่อว่าพวกเขาทำได้ หากพัฒนาต่อไปไม่หยุด แข่งขันกับตัวเองต่อไป

ทำอย่างไรจะให้มาตรฐานคุณภาพการศึกษาของเด็กโรงเรียนประจำอำเภอลดช่องว่างลงมาใกล้เคียงกับเด็กประจำจังหวัด แล้วจะทำอย่างไรให้เด็กประจำจังหวัดลดช่องว่างให้ใกล้เคียงกับเด็กในโรงเรียนกทม. นี่คงเป็นโจทย์ที่รอการแก้ต่อไปครับ แล้วปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนายกระดับการศึกษานั้นเข้าใจกันถ่องแท้จริงๆหรือไม่ถึงรากเง้าของปัญหา มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมของในหลวง และรายการtutor channel ของท่านจุรินทร์ก็เป็นทางออกหนึ่งที่ต้องสานต่อ

ผมมีข้อสังเกตอย่างคือ เด็กที่ได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น หรือ แม้แต่ทุนรัฐบาลเยอรมัน ที่ผมเคยไปนั้น ผมไม่เคยเจอเลยสักคนที่เป็นมีประวัติเรียนอยู่ในต่างอำเภอ ส่วนใหญ่เป็นเด็กในกทม. ไม่ก็เป็นเด็กที่เคยเรียนประจำจังหวัด มันเกิดอะไรขึ้นครับ ปัจจุบันนี้ หรือว่ามันเป็นมานานแล้ว แล้วมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมอยากจะเห็นคนอย่าง ดร.รอน คำอินไชย มากๆครับ ขอให้มีคนอย่างนี้จุดประกายความฝันของเด็ก สร้างแรงบันดาลใจในชีวิต คิดว่าโอกาสมีอยู่ตลอดเวลาเพียงแต่จะวิ่งเข้าไปหาหรือคว้ามันมาได้หรือไม่

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

วัฒนธรรมการตีพิมพ์ผลงานสาขาวิศวกรรมกับสาขาวิทยาศาสตร์


วัฒนธรรมที่แตกต่างของการตีพิมพ์ผลงานสาขาวิศวกรรมกับสาขาวิทยาศาสตร์

ในฐานะที่เป็นนักศึกษาป.เอกของคณะวิทยาศาสตร์โดยบังเอิญ และมีเพื่อนรุ่นน้องหลายคนเป็นนศ.ป.เอกของวิศวกรรม ที่ไม่ว่าจะเรียนสาขาไหนจะต้องตีพิมพ์ผลงานให้ได้เพื่อเป็นตัวชี้วัดความสัมฤทธิ์ผลทางการศึกษาแบบฉบับญี่ปุ่น  ที่อื่นก็คงคล้ายๆกัน แต่ที่อังกฤษรู้ว่ามาว่าด็อกเตอร์ที่จบไม่จำเป็นต้องตีพิมพ์ก็ได้ ทางโน้นเค้าจะดูเนื้องานและวิทยานิพนธ์เป็นหลัก

ก็เลยถามรุ่นพี่ป.เอกว่าเคยได้ยินไหมว่านศ.ป.เอกของสาขาวิศวกรรมนั้นมีผลงานตีพิมพ์เยอะมาก รุ่นพี่คนนี้อยู่ปี 3 คณะวิทยาศาสตร์เดียวกันบอกว่า ตีพิมพ์ไปแล้ว1เปเปอร์ บอกว่าเป็นธรรมดาและเป็นวัฒนธรรมการทำงานของสาขาวิศวกรรมที่จะตีพิมพ์งานเยอะ เพราะถ้าเค้าเจออะไรใหม่ หรือทดลองอะไรใหม่ เช่น สร้างโปรแกรมมาหนึ่งโปรแกรมเพื่อทดสอบโมเดลแล้วนำข้อมูล A กับ B มาทดสอบโปรแกรม อย่างนี้ก็สามารถนำผลที่ได้มาตีพิมพ์สองเปเปอร์ได้แล้ว หรือ นำโปรแกรมที่ได้มาพัฒนาให้ดีขึ้น ถ้ามีการปรับปรุงคุณภาพของผลจากค่าสถิติอย่างนี้ก็ถือว่าตีพิมพ์ได้

ทำให้ป.เอกสาขาวิศวกรรมส่วนใหญ่เปเปอร์จะอยู่ที่ มากกว่า 2-3เปเปอร์ รุ่นพี่เล่าว่าที่ม.โตเกียวมีเพื่อนที่รู้จักตอนจบเอกตีพิมพ์ผลงานทั้งหมดเกือบ 10 เปเปอร์ นี่คือวัฒนธรรมการทำงานของสาขาวิศวกรรม แล้วสาขานี้จะมีงานคอนเฟอร์เร้นท์บ่อยมากทั้งในและต่างประเทศ โดยแต่ละงานก็มีโอกาสตีพิมพ์ผลงานเพราะถ้างานเข้าตาจะถูกทาบทามให้ตีพิมพ์ผลงานได้ อาจจะต้องขยายหรือเพิ่มงานบ้าง แล้วแต่กรณีไป

ส่วนงานวิทยาศาสตร์ รุ่นพี่และอาจารย์บอกว่า ถ้าใครตีได้ 3 เปเปอร์แสดงว่าสุดยอด แล้วส่วนใหญ่จะต้องเป็นนักศึกษาที่เรียนต่อเนื่องคือโทเอกสาขาเดียว โดยเอางานป.โทมาขยายผลเพื่อตีพิมพ์ เพราะงานสาขาวิทยาศาสตร์นั้น ต้องตีแผ่ ค้นหา อธิบาย วิเคราะห์ สังเคราะห์กระบวนการธรรมชาติให้แน่ชัด ต้องทำให้ได้ข้อสรุปอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่ชัดเจนที่ ปีนี้มีรุ่นพี่คนนึงเค้าจบจากแลปที่ผมอยู่ คนนี้อยู่แลปนี้มาตั้งแต่ป.ตรี แล้วเอางานป.โทมาขยายต่อเป็นเปเปอร์แรกสุดท้ายได้ 3 เปเปอร์ เลยได้รับรางวัลนักศึกษาดีเด่นของคณะวิทยาศาสตร์พร้อมทั้งได้ทุนไปทำวิจัยหลังป.เอกที่เคมบริดจ์อีกสองปี สุดยอดครับ

เข้าใจแล้วครับ ^^



วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

นักศึกษาไทยในเกียวโต


นักศึกษาไทยในเกียวโต
เกียวโต เป็นเมืองหลวงเก่าหลังจากนารา ก่อนที่โชกุน Tokugawa Ieyasu จะทำการย้ายเมืองหลวงไปอยู่โตเกียวในสมัยเอโดะและได้เชิญองค์พระจักรพรรดิจากเกียวโตไปประทับ ณ เมืองหลวงใหม่โตเกียว และใช้เป็นเมืองหลวงจนถึงปัจจุบัน ระยะทางจากเกียวโตไปโตเกียวประมาณ 400 กิโลเมตร ใช้รถไฟหัวกระสุนประมาณ 2 ชั่วโมง นั่งบัสใช้เวลา 8 ชั่วโมง ผมเคยนั่งแล้ว 3 ครั้ง แวะบ่อยมากๆ เพราะเค้าจะพักเบรกทุกๆ 2 ชั่วโมงให้คนขับได้ยืดเส้นยืดสายตามกฎหมาย ใครที่หวังจะนอนหลับบนรถเมล์ก็อย่าได้คาดหวังมาก สำหรับผม นอนไม่ได้เลยครับ

ที่เกียวโตมีแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรมมากมาย หาเปรียบไปก็คล้ายกับเมืองเชียงใหม่ที่ผมเคยเรียนและอาศัยอยู่ แต่ที่นี่จะติดระดับโลกมากกว่า ว่ากันคนที่มาเทียวญี่ปุ่น ถ้าอยากมาดูความเป็นญี่ปุ่นและรากเง้าจริงๆต้องมาที่เกียวโต ดังนั้นเกียวโตจึงเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศมากมาย เป็นแม่เหล็กให้ญี่ปุ่นดีๆนี่เอง นอกจากแหล่งท่องเที่ยวแล้วเกียวโตยังมีชื่อในเรื่องเมืองแห่งการศึกษา เพราะที่เกียวโตมีมหาลัยกว่า 30 แห่ง ขนาดแตกต่างกันไป ประเภทแตกต่างกันไป คนต่างชาติที่มีฐานะรวมทั้งไทย ส่งลูกหลานมราเรียนภาษากันเยอะมากที่เมืองแห่งนี้ เป็นเพราะวัฒนธรรม ที่สั่งสมกันมาเป็นพันๆปีของที่นี่  สถานที่หลายแห่งได้รับยูเนสโก มีวัดเงิน วัดทอง วัดน้ำใสที่คนไทยคุ้นเคย แล้วยังมีมหาลัยเฉพาะทางอีกมายมาย มีสถาบันสอนภาษา มีมหาลัยที่เน้นเทคโนโลยีชื่อดังอย่าง KIT มีมหาลัยเอกชนชื่อดัง ได้แก่ Doshisha และ Ritsumeikan  นักเรียนไทยมาเรียนกันเยอะพอสมควร ฐานะก็ต้องดีครับ เพราะเป็นของเอกชน ซึ่งแพงมากๆ มีเด็กสองสามคนในแลปเคยเรียนที่ Doshisha เล่าให้ฟัง

วัดเก่าบนยอด Heie san เป็นมรดกโลกที่สวยงามมาก


ส่วนของผมมหาลัยเกียวโตเป็นของรัฐ จะเน้นวิทยาศาสตร์ แพทย์และเทคโนโลยี แข่งกับ มหาลัยโตเกียว มีเด็กไทยเรียนที่ประมาณปีละไม่เกิน 5-6 คน รวมๆแล้วไม่น่าจะเกิน30คน(ไม่แน่ใจ) จากทุกระดับตรี โท เอก หลังปริญญาเอก ส่วนใหญ่จะได้ทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ไม่งั้นก็รัฐบาลไทยส่งมาเรียน ส่วนใหญ่จะเรียนวิศวกรรม และสายแพทย์ มีหลายคนที่เขียนโปรแกรมช่วยในการทำงานซึ่งเป็นเครื่องมือปรกติแม้แต่ผมที่มีความรู้น้อยก็ยังต้องมาฝึกทำ เมื่อวานผมได้คุยกะรุ่นน้องคนไทย เค้ามารุ่นเดียวกันกับผม เค้าเรียนอยู่อีกแคมปัสหนึ่ง(มีสามแคมปัส แต่ละแคมปัสห่างกันใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง โดยมีรถบัสมหาลัยให้บริการ)ชื่อ คัทซุระที่มีสายวิศวะอยู่ครับ แต่ผมอยู่ที่แคมปัสหลักชื่อ โยชิดะ รุ่นน้องผมคนนี้เก่งมากๆ ตีพิมพ์ไปแล้วหนึ่งและกำลังจะตีอีกหนึ่งในระยะเวลาอันใกล้นี้ เขียนโปรแกรมโลจิสติกทางด้านวิศวะ คาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่าสามเปเปอร์ ซึ่งสายวิศวะส่วนใหญ่จะเน้นผลิตเปเปอร์ที่มากซึ่งเป็นตัวชี้วัด หากมีการพบหรือสร้างสรรค์อะไรใหม่ขึ้นมา มีพัฒนาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะตีพิมพ์เพื่อเผยแพร่ผลงานและเก็บเป็นตัวชี้วัดความสัมฤทธิ์ผล 

ผมภูมิใจครับกับรุ่นน้องคนนี้ ภูมิใจแทนคนไทยด้วย และยังมีรุ่นน้องเก่งๆอีกหลายคนที่ตีพิมพ์ไปแล้วอย่างน้อยคนละหนึ่งเปเปอร์ในระยะเวลา 1ปีที่มาถึงนี้ ผมก็เลยขอความรู้จากเค้ามากมาย ถามถึงกระบวนการทำงาน ถามถึงวิธีคิด เทคนิคในการทำงานให้ได้ผลงาน การแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ทั้งที่อายุน้องเค้าอ่อนกว่าผม 4 ปี แต่ประสบการณ์ที่เค้ามีช่วยผมได้เยอะ อายุไม่สำคัญครับ อายุมากใช่ว่าจะรู้เรื่องวิจัยมากถ้าไม่เคยผ่านงานวิจัยมาจริงๆ ต้องยอมรับครับ แต่ทุกอย่างเรียนรู้ได้ นับหนึ่งใหม่ได้ เปิดใจครับและยอมรับที่จะเรียนรู้ 

ส่วนงานทางวิทยาศาสต์ที่ผมกำลังช่วยอาจารย์ทำอยู่นี้ อาจารย์ผมบอกว่าต้องได้ข้อสรุป ไม่งั้นไม่ผ่านเกณฑ์ของคณะ จะโดนโปรเฟสเซอร์คนอื่นโจมตีได้ง่ายๆ ไม่เน้นเปเปอร์ แต่ต้องมีอย่างน้อย 2 เปเปอร์ ผมก็งงๆครับ ตกลงคือต้องทำ แต่จะทันไม่ทันก็อีกเรื่อง แต่ผมจะตั้งใจให้ทันสามปีให้ได้ครับ อาจารย์ของผมที่เป็นโปรเฟสเซอร์หลักมีเปเปอร์ไม่มากถ้าเทียบกับอาจารย์สายวิศวะ ก็เพราะเค้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านอุตุนิยมวิทยา ถ้าไม่ได้ข้อสรุปจากทุกมุม ทุกด้านในเรื่องที่เค้ากำลังทำอยู่ เค้าจะไม่ยอมตีพิมพ์ งานเลยดูน้อยเมื่อเทียบกับอาจารย์สายอื่น นี่คือความแตกต่างของงานสายวิทยาศาสตร์ กับงานสายวิศวะกรรมศาสตร์ ที่สัมผัสมานะครับ เพราะป.โทเป็นเรียนทางด้านวิศวกรรม ผมจึงเข้าใจว่าอาจารย์ต้องการอะไร แต่พอป.เอกต้องปรับตัวพอสมควรกว่าจะเข้าใจสิ่งที่เป็นอยู่

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

หนังสืออ่านฟรี "วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษ ที่ ๒๑"

หนังสืออ่านฟรี "วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษ ที่ ๒๑" ของท่านศ.วิจารณ์ พาณิช ที่เคารพรัก

"การเรียนรู้แบบนี้เรียกว่า PBL (Project-Based Learning)"
"ครูเพื่อศิษย์ต้องเปลี่ยน บทบาทของตนเองจาก “ครูสอน” (teacher) ไปเป็น “ครูฝึก” (coach) หรือ “ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้” (learning facilitator) ให้ศิษย์ได้เรียน จากการลงมือปฏิบัติ (learning by doing)"
"นักวิทยาศาสตร์ตั้งคำถาม Why? วิศวกรตั้งคำถาม How?"
"ครูเพื่อศิษย์จึงต้องพัฒนาตนเองให้มีทักษะของการเรียนรู้ด้วย และใน ขณะเดียวกันก็ต้องมีทักษะในการทำหน้าที่ครูในศตวรรษที่ ๒๑"
"หัวใจในหน้าที่ครูคือ สร้างนิสัยรักเรียน ซึ่งสำคัญกว่าการรู้ เนื้อหาวิชา"
“ครูเพื่อศิษย์” ต้องสะสมเกมต่าง ๆ ที่เหมาะสมไว้ให้เด็กเล่น โดยเฉพาะเกมสมองซีกขวา

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

วัฒนธรรมการวิพากษ์ในญี่ปุ่น


โครงการ GCOE  นั้นเป็นโครงการของ JSPS(Japan Society for the Promotion of Science) ที่ผ่านการอนุมัติด้วยกระทรวง ศึกษา วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี Japan's Ministry of Education, Culture, Sports, Science and Technology (MEXT) ชื่อกระทรวงยาวไหมครับ แล้วก็มีหลายหน่วยงานในกระทรวงนี้กระทรวงเดียวด้วย เป็นกระทรวงที่ทรงอำนาจและพลังในแง่การขับเคลื่อนประเทศ กำหนดทิศทางมันสมองของประเทศแบบรวมศูนย์ เท่าที่ผมดูนะ แต่ก็ไม่รู้โครงสร้างจริงๆของเค้า เอ้าไว้วันหน้าจะศึกษามาเล่าให้ละเอียดกว่านี้  แต่ที่เคยคุยกับนักวิจัยญี่ปุ่นบอกว่า ถ้าจะขอทุนวิจัยก็มีกระทรวงนี้ที่ให้ทุนเป็นประจำ แล้วผมก็ได้ทุนนี้มาทำวิจัยป.เอกด้วย ขอบคุณครับ

 โครงการGCOE เป็นโครงการที่ให้เงินสนับสนุนด้านการศึกษาและก่อตั้งศูนย์วิจัย เพื่อความเป็นเลิศในการแข่งขันในระดับนานาชาติของแก่มหาวิทยลัยญี่ปุ่น โดยจะสนับสนุนนักวิจัยรุ่นเยาว์ Young researcher ให้ได้ไปเป็นผู้นำของศาสตร์นั้นๆในอนาคตของโลก เช่นให้ทุนวิจัย ส่งนักวิจัยไปวิจัยในแลปต่างประเทศ ให้ทุนซื้ออุปกรณ์เครื่องมือ เป็นต้น

แล้วที่ม.เกียวโตก็มีโครงการ GCOE  อยู่หลายโครงการโดยความร่วมมือของโปรเฟสเซอร์ในแต่ละกลุ่ม ส่วนของผมสังกัดคณะวิทยาศาสตร์ ทางด้านภูมิอากาศวิทยา อาจารย์ผมสังกัด GCOE-ARS นำทีมโดยโปรเฟสเซอร์ Takara ชื่อเต็มๆ “Sustainability/Survivability Science for a Resilient Society Adaptable to Extreme Weather Conditions”  ไว้หน้าจะเล่าให้ละเอียดกว่านี้

ผมจำต้องเรียนวิชาพื้นฐาน 3 วิชา แล้วต้องไปออกภาคสนาม ต้องเข้าร่วมโครงการซัมเมอร์สกูล ซึ่งยังไม่ได้ไปเลย แล้วต้องไปฝึกงานอีก1เดือน ก็ยังไม่ได้ไปเหมือนกัน อีกทั้งยังต้องเข้าสัมนาที่จะมีจัดประจำอย่างน้อยอีกแปดครั้ง ผมเก็บไปได้แล้ว 6 ครั้ง ถ้าทำได้จะได้ใบประกาศว่าผ่านโครงการนี้ ซึ่งจะเป็นความภูมิใจอีกอันหนึ่ง แต่ก็ต้องดูเวลาด้วยว่าจะทันหรือไม่ 

วันศุกร์ได้เข้าไปฟังสัมนา GCOE เค้ามาเสนอเรื่องการจัดการภัยพิบัติโคลนถล่มที่เกิดจากพายุ  Talas เมื่อปีที่ผ่านมา 2011 ที่ Wakaya prefecture โดยมีด็อกเตอร์สองคนจบจากเกียวไดที่แลปของอาจารย์ Fujimoto เค้าทำงานให้หน่วยงานวิจัย MLIT  หน้าที่หลักคือประเมินพื้นทีเสี่ยงภัยดินถล่ม ออกประกาศเตือน วิจัยเกี่ยวกับดินถล่ม ทำการสำรวจพื้นที่เสียหาย แล้วทำแผนที่เสี่ยงภัยออกสู่สาธารณะชน วันนี้เค้าเอากระบวนการทำงานวิจัยมานำเสนอ พูดด้วยภาษาอังกฤษที่เก่งมาก เค้าชื่อ  Takao Yamakoshi กับ Taro Uchida เค้าเคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ Fujimoto มาก่อน พอจบการนำเสนอ ในช่วงซักถาม อาจารย์ของเค้าก็ถามว่าทำไมทำอย่างนั้นอย่างนี้ พร้อมทั้งเสนอแนวทางให้ว่าควรจะทำอย่างนี้จะดีไหม เค้าก็น้อมรับด้วยดี ด้วยกริยาสุภาพตามมาตรฐานญี่ปุ่น แล้วก็ยอมรับโดยตรงว่างานเค้ากระบวนการยังไม่ดีจริงๆตามที่อาจาย์แนะนำ แต่เค้าจะปรับปรุงให้ดีทันกับเวลาต่อไป 

ส่วนรุ่นน้องในแลปก็ถามคำถามที่ทำให้สกิดใจและไอเดียคนมาเสนองานได้ ถามปัจจัยอื่นๆ ถามกระบวนการ วิจารณ์ผล ซึ่งผมว่านี่แหละคือประเทศพัฒนา ต้องกล้าที่จะเอางานของรัฐซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวกับสาธารณะกล้าเอามาให้นักวิจัย นักวิชาการ วิพากษ์วิจารณ์ เพื่อรับไอเดียใหม่ๆ รับคำติติง คำชมไม่ต้องการมาก เพราะเป็นแค่กำลังใจ แต่แนวทางการพัฒนาต่างหากที่ควรเอาไว้ เหล่านี้ก็มาจากการวิพากษ์ ต้องกล้ารับผิด ต้องกล้าเผชิญความจริง ต้องการมองและยอมรับความคิดเห็นในมุมที่ต่างกันไป แล้วอีกเรื่องคือ ถ้าเราเป็นลูกศิษย์หรือเป็นอาจารย์ใครแล้ว ที่ญี่ปุ่นต้องคงสถานะนั้นตลอดไป ลูกศิษย์ต้องเคารพอาจารย์เพราะอาจารย์มีงานวิจัยตลอด ไปเจอนักวิจัยทั่วโลก แล้วอาจารย์ก็จะเรียนรู้จากลูกศิษย์ที่จบไปแล้วด้วยว่าตอนนี้ในโลกปฎิบัติจริงเค้ามีปัญหาอะไรอยู่ แล้วแก้ปัญหากันยังไง ต่างคนต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกันนี่แหละจะพัฒนา

ถามว่าบ้านเรามีอย่างนี้ไหม เคยมีคนในวงการของรัฐเอากระบวนการมาให้อาจารย์ นักวิจัยที่สนใจเรื่องที่ตัวเองกำลังทำอยู่ วิพากษ์วิจารณ์หรือไม่  ทำไมไม่ทำละครับ ไม่มีใครทำงานเพียงหน่วยงานเดียวได้ถูกต้องครับ ต้องอาศัยหลายๆมุมในการวิพากษ์ แล้วมาลองปรับงานดู ต้องวิจัยงานที่กำลังทำอยู่ ลองหลายๆวิธี ผิด ก็ต้องยอมรับ ว่ามันผิด แล้วก็ปรับปรุงไปตลอด ไม่ใช่ว่าทำมาตั้งแต่สมัยร.5 ก็คงระบบนั้นตลอดไป  ผมมักได้ยินคำว่า อย่าไปทำเลย ทำแล้วมันจะดีหรือ ผมคิดว่ามันไม่น่าจะได้นะ ทำไปก็แค่นั้นคำพูดบั่นทอนเหล่านี้ก็ได้แค่พูด แต่อย่าไปเชื่อครับ ลองทำดูในสิ่งที่เราสงสัย สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่เราคิดไว้ มันอาจจะเป็นไปได้เมื่อเราลองทำ

มองเด็กคิด คิดตามเด็ก

 
ผมมีเรื่องที่อยากจะเล่าอยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับมุมมองของเด็ก วันนั้นประมาณเดือนธันวา 54 หลังน้ำท่วมใหญ่ผ่านพ้นเมืองไทยไป เหลือแต่ซากที่รอการเก็บกวาด ผมได้มีโอกาสกลับไทยเพื่อไปนำเสนอผลงาน แล้วผมได้ขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสจะเดินทางไปจตุจักร ได้ผ่านแถวสยาม มีเด็กผู้หญิงมัธยมต้นสองคนขึ้นมายืนเบียดข้างๆผม แล้วคนใส่แว่นตาก็เริ่มเปิดบทสนทนาเรื่องเกี่ยวกับอยากไปต่างประเทศ ประมาณว่าพ่อเค้าให้เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม แล้วก็พูดว่าถ้าโตแล้วจะไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วจะไม่กลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว เพราะไม่อยากอยู่ ผู้ใหญ่เอาแต่ทะเลาะกัน ประมาณว่าประเทศนี้ไม่น่าอยู่แล้ว อยากไปในประเทศที่ดีกว่านี้ เด็กหญิงอีกคนก็พูดทำนองเดียวกันว่าป๋าจะให้ไปเหมือนกันแล้วก็ไม่อยากอยู่เหมือนกัน เบื่อ ผมยืนฟังแล้วก็งงเป็นไก่ตาแตกเลย แต่ก็พยายามเข้าใจว่าคงเป็นแค่เด็กกลุ่มเล็กๆที่มีโอกาสที่ดี และผมเชื่อว่าเด็กสองคนนี้เป็นเด็กเรียนดีเพราะมาจากสยาม

ผมเลยมีคำถามมากมายในหัวว่า ทำไมเด็กถึงคิดอย่างนั้น เด็กคิดได้เอง หรือ ผู้ปกครอง หรือกลุ่มเพื่อน แล้วยังมีเด็กเก่งๆอีกมากไหมที่เป็นแบบนี้ ทำไมเด็กถึงไม่มีความคิดว่าจะทำอย่างไรให้มันดีขึ้น ทำไมเด็กถึงคิดแต่ว่าต้องไปหาที่ที่ดีกว่า ที่ที่สมบูรณ์กว่า ผมก็ยังสงสัยว่าเด็กรักประเทศไทยจริงๆหรือไม่ เด็กมองประเทศหรือแผ่นดินที่ที่ให้กำเนิดแห่งนี้ว่าอย่างไร หรือผู้ปกครองได้เคยเล่าบุญคุณแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์นี้ให้บ้างหรือไม่ หรือว่าเด็กสองคนนี้ไร้เดียงสาจริงๆ เป็นเด็กจริงๆ แล้วต่อไปเด็กจะเปลี่ยนความคิดเหล่านี้ได้หรือ่ไม่ แต่ผมก็ไม่โทษเด็กสองคนนี้ เพราะสภาพที่เค้าเห็นมันก็คงสุดจะทนสำหรับเค้าที่ต้องมารับรู้และพบเจอเรื่องที่เด็กไม่ควรจะเจอ

มีคนหลายคนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วก็ไม่อยากกลับประเทศไทย เพราะเหตุผลหลายประการ เช่น กลับไปก็ไม่ได้ทำงานตรงสาย เงินเดือนน้อย ต้องถอนทุนคืน เครื่องไม้เครื่องมือบ้านเราไม่มี อยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์สักพักก่อน อยากอยู่ในประเทศที่เจริญแล้วมีทุกอย่างเพียบพร้อม จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมก็คิดว่าคนเหล่านี้ก็คือคนไทย ที่ยังรักประเทศไทยอยู่ คอยติดตามความเคลื่อนไหวของประเทศ แม้ว่านายกอ่านสคริปท์เตือนภัยทซึนามิช้าไปหลายชั่วโมง แม้ว่าจะพูดว่าเอาอยู่แต่ก็เอาไม่อยู่ ^^' แต่คนเหล่านี้ก็ยังรักประเทศไทย สักวันมันสมองเหล่านี้ก็ต้องกลับมาพัฒนาประเทศแม้ว่าจะอยู่มุมใดมุมหนึ่งของโลก หรือแม้ว่าขณะปัจจุบันผมก็เชื่อว่าคนเหล่านี้ก็ยังทำเพื่อประเทศอยู่เพราะเค้าถูกสลักชื่อประเทศเข้าไปในสายเลือด ณ วันที่พวกเค้าถือกำเนิดมาแล้ว ไม่ว่าเค้าจะไปอยู่มุมใดเค้าก็คือคนไทย ไม่ว่าบรรพบุรุษเค้าจะมาจากไหน เค้าก็คือคนไทย

วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555

ย้อนรอยเพลง I believe I can fly หนังเรื่อง Space Jam

สมัยที่ผมอาศัยและเรียนอยู่มัธยมในบ้านนอก  ณ เมืองงาวนั้น ผมกลับบ้านเกือบสามทุ่มทุกวัน แต่บ้านผมก็ไม่ไกลจากโรงเรียนไม่เกินยี่สิบก้าวถึงครับ เพราะอยู่ข้างหน้าโรงเรียน ผมมีเล่นบาสกับอาจารย์ รุ่นพี่ เพื่อน และชอบดูไมเคิล จอร์แดน สแลมดังด์มันส์ ชอบดูร็อดแมน ชอบดูแช็ก ชอบสต๊อกตั้น พอยุคนั้นรุ่นพี่เค้าชวนไปดูหนังเรื่อง Space Jam ที่แสดงโดย เอ็มเจ ที่บ้านเค้า พอดีเค้าเป็นคนมีฐานะเลยทำห้องดูหนังของตัวเองได้ ที่เมืองงาวไม่มีโรงหนังครับ ห่างจากลำปางแปดสิบกิโล ห่างจากพะเยาเกือบหกสิบกิโล ผมจะได้ดูก็แค่หนังในทีวี รุ่นพี่คนนี้เค้าเก่งภาษาอังกฤษ ทั้งที่จบเทคนิคไฟฟ้า ต่ออุปกรณ์เองได้หมด เค้าก็ช่วยแปลหนังซาวแทรคให้ เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่อยู่ในความทรงจำตลอด เพราะเพลง I believe I can fly

I believe I can fly มีหลายท่อนที่เนื้อเพลง ให้กำลังใจ กระตุกแรงๆให้คิดว่า ถ้าเราเชื่อว่าทำได้ มันต้องทำได้ การจะเริ่มทำอะไร มันต้องขึ้นอยู่กับแรงขับของตัวเองก่อน จงเชื่อว่าคุณทำได้ คุณก็จะทำได้

...There are miracles in life I must achieve
But first I know it starts inside of me...
 
...If I can see it, then I can be it
If I just believe it, there's nothing to it...


ขอบคุณพี่ชายที่แสนดีคนนั้นที่ตอนนี้ได้ไปค้นหาตนเองในร่มกาสาวพัตรเป็นเวลากว่าสิบสามปีมาแล้ว
ขอบคุณเอ็มเจและทีมงาน
ขอบคุณ R Kelly  และทีมงาน

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

คิดถึง Heal The World ของ Michael Jackson

สมัยเด็กฟังเพลงนี้แล้ว รู้สึกดี ฟังเสียงของไมเคิลแล้ว เหมือนล่องลอยไปในสวรรค์ที่เพอร์เฟค ไม่มีการขัดแย้ง ไม่มีการเอาเปรียบ เป็นโลกที่ดีที่น่าอยู่ แม้ว่าจะแปลไม่ออกว่าเนื้อเพลงหมายความว่าอย่างไร




บ้านเมืองเราต้องช่วยกันกลับมาสู่เส้นทางแห่งการพัฒนา อย่างขัดแย้งกันจริงจังไปเลยครับ ลดการเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองลงเถอะครับ สร้างสรรค์ประเทศ เป็นตัวอย่างให้เด็กๆ ให้ลูกๆ หลานๆ เห็น ให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับของนานาชาติว่า เราเป็นชาติที่มีเอกลักษณ์ ซื่อสัตย์ จริงใจ ชอบเรียนรู้ สร้างสรรค์และพัฒนา และยอมรับความแตกต่างของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

คิดถึงไมเคิลและทีมงานครับ

ตีความเพลง Viva La Vida ของ Coldplay

ผมไม่เข้าใจเนื้อหาจริงๆของเพลงนี้ Viva La Vida ของ Coldplay



บางคนตีความว่า เป็นเรื่องชีวิตของไมเคิลแจ็กสัน บางพูดว่าเป็นชีวิตของผู้ที่กำลังสูญเสียอำนาจ บางพูดว่าเป็นคนที่เคยอยู่ในอำนาจแล้วทำผิดเลยคิดแก้ตัวไปตอนนั้นน่ะอั้วอยู่ในอำนาจก็แค่นั้น บางพูดว่าเป็นชีวิตของคนที่กำลังจะสูญเสียคนที่รักไป บางพูดว่าเป็นเพลงที่เกี่ยวกับศาสนา บางพูดว่าเป็นชีวิตของนโปเลียน

แปลกดีแฮะ เพลงเดียวกัน แต่แปลความหมายได้หลายความหมาย เพราะเนื้อเพลงไม่ได้พูดอะไรที่ตรง แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ฟังจะตีความอย่างไร แต่สำหรับผม ฟังแล้วก็เห็นกฎธรรมดาของสรรพสิ่งทั่วไปที่เรียกว่าไตรลักษณ์ ที่มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

รถไฟไทย รถไฟเยอรมัน รถไฟญี่ปุ่น


รถไฟไทย รถไฟเยอรมัน รถไฟญี่ปุ่น

คนเก่งออกไปทำรอบนอก, รถไฟเยอรมัน ,รถไฟญี่ปุ่น,รถไฟไทย,การเคลื่อนย้ายประชากร ในระยะเวลาสั้น,
ระบบขนส่งเมืองไทย ทำไมต้องรถยนต์ ทำไมต้องถนน,การรถไฟแห่งประเทศไทย 2499,คอรัปชั่นและการลงโทษ
แอร์พอร์ตลิงค์,รถไฟฟ้าใต้ดิน

ผมยังมีความเชื่อว่าประเทศไทยจะพัฒนาได้ด้วยการกระจายความรู้จากการกระจุกตามเมืองใหญ่ กรุงเทพ เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา ไปสู่หัวเมืองใกล้เคียงหรือเมืองบริวารเหล่านี้ ยังเชื่อว่ายิ่งเมืองใหญ่เท่าใดยิ่งมีคนเก่งๆ หัวกระทิกระจุกตัวอยู่เยอะ เพราะชีวิต แหล่งงาน แหล่งการศึกษา ครอบครัว ทำให้จำเป็นต้องอยู่ กรุงเทพปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีคนเก่งหัวกระทิอยู่เยอะ จะกี่เท่าก็ไม่รู้เมื่อเทียบกับหัวเมืองใหญ่เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา

คนถาม จะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้ออกไปทำงานตามหัวเมืองใหญ่ที่กล่าวมาให้ได้มากทีสุด จะกระจายความรู้เหล่านี้อย่างไร อะไรคือปัญหาหลัก อุดมการณ์นั้น ผมเชื่อว่าคนเหล่านี้มี และมีความคิดจะพัฒนาประเทศแน่นอน แต่ต้องช่วยกันทุกระดับ ผู้บริหารประเทศต้องแก้ปัญหานี้ โดยปราศจากหรือลดการคอรัปชั่น ซึ่งเป็นเรื่องยากที่สุด แต่ถ้ากำหนดโทษให้รุนแรง เชือดจริงๆ หรือ เอาดินกลบไปเลยมันก็น่าจะทำได้ เพราะคนพวกนี้ทำลายชีวิตของคนส่วนใหญ่และขัดขวางการพัฒนาประเทศ

ผมคิดว่าระบบขนส่งมวลชนระหว่างกรุงเทพกับหัวเมืองใหญ่สำคัญที่สุด ผมเคยเรียนและทำงานอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่ กรุงเทพ พิษณุโลก สตุ๊ทการ์ท ผมเคยเดินทางไปเมืองใหญ่ของโลก เฉินตู หวูหั่น ของจีน สตุ๊ทการ์ท เบอร์ลิน แฟรงเฟิร์ต มึนเช่น โอซาก้า โตเกียว โกเบ นาโกย่าและเกียวโตที่ผมกำลังศึกษาป.เอกอยู่ที่ถือว่าเป็นเมืองบ้านนอกแล้วของญี่ปุ่น เมืองใหญ่เหล่ามีระบบขนส่งภายในเมืองที่ดี โครงข่ายเชื่อมภายในเมือง และระหว่างเมืองที่ดี และเป็นระบบโดยเฉพาะเยอรมัน กับ ญี่ปุ่น แต่จีนผมแค่ไปสั้นๆ ไม่รู้มากนัก โดยระบบขนส่งจะมีรูปแบบเดียวกันเลยคือ รถไฟฟ้าใต้ดิน (subway ,chikatetsu,U-Bahn) ให้คนในเมืองใช้ เพิ่มความสะดวกในเวลาเร่งรีบ ประหยัดเวลาซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตคนในเมือง ส่วนรถไฟระหว่างเมืองที่เยอรมันจะมี S-Bahn และญี่ปุ่นเป็น Densha จะใช้เดินทางในระยะทางไกลมาหน่อยกว่า subway แต่ก็ยังสามารถใช้ในการเดินทางข้ามจังหวัดได้ด้วย ซึ่งประหยัดและสะดวก ส่วนรถไฟรูปแบบที่สามคือ รถไฟด่วน หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่า ชินกันเซน และเยอรมันก็มี ICE ที่ใช้เวลาเดินทาง 400 กิโลเมตรประมาณสองชั่วโมง ถ้าจากกทม.ไปเชียงใหม่ก็ไม่น่าจะเกินสี่ชั่วโมง ไว้วันหน้าจะคุยรายละเอียดให้มากกว่านี้

 รถไฟหัวกระสุนของเยอรมัน ICE



รถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่น Shinkansen

ประเทศไทยต้องสร้างและพัฒนารถไฟด่วนระหว่างหัวเมืองใหญ่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเคลื่อนย้ายแรงงานหัวกระทิในระยะเวลาอันสั้นสามสี่ชั่วโมง กระจายความรู้ให้เร็ว จากกทม.ไปเชียงใหม่ ไปขอนแก่น ไปสงขลา ให้เร็วที่สุดก่อน ผมได้คุยกะเพื่อนที่จบทางด้านระบบขนส่งที่จบจากโตเกียวมา เค้าบอกก็กำลังศึกษา โดยบริษัทญี่ปุ่นกำลังจะมาวางระบบให้ ผู้บริหารบ้านเมืองต้องเร่งให้เกิดด่วน บ้านเราช้าไปแล้วครับ เอาแต่ทะเลาะและคอรัปชั่นกันจนลืมว่าโลกก้าวไปไกลขนาดไหน ผมเชื่อว่าถ้ามีรถไฟประเภทนี้จะทำให้ประเทศเรากระโดดไปอีกขั้น เพราะความรู้ถูกกระจาย คนเก่งในหัวเมืองใหญ่อย่ากทม.ก็จะไปแวะทำงาน สอนหนังสือ ช่วยสอนที่พิษณุโลก คนเก่งจากเชียงใหม่ก็เดินทางไปติดต่อ ไปสอน ไปวิจัย สัมนา ที่กทม.ได้วัน ไปเช้าเย็นกลับได้ ไม่ต้องเสียเวลา สามถึงสี่วัน คือ ไปหนึ่งวัน ทำงานหนึ่งวัน กลับหนึ่งวัน คนเก่งจากขอนแก่นก็ไปวิจัย สัมนา สอนหนังสือที่สงขลา ส่วนคนสงขลาก็ไปกทม.หรือเชียงใหม่ได้ไม่ยาก เกิดการเคลื่อนย้ายประชากรหัวกระทิ ขอให้ผลักเป็นวาระแห่งชาติไปเลย ครั้นจะเอาให้เครื่องบินก็ได้ แต่ยังไม่สะดวกเท่า เราไม่สามารถยกระดับและพัฒนาทุกพื้นที่ในประเทศไทยได้พร้อมๆกันในเวลาเดียว เพราะปัจจัยหลักคือ เงินทุน แต่ถ้ามีระบบเชื่อมต่อขนส่งที่ดี จังหวัดที่อยู่ใกล้หัวเมืองใหญ่จะพัฒนาตามมาในไม่ช้า

อาจแต่ต้องแก้ปัญหารับมือกับค่าภาษีที่เคยได้จากบริษัทรถยนต์ ที่เคยขายรถยนต์ได้ปีๆหนึ่งหลายหมื่นล้านแก่คนไทย พวกเราคนไทยต้องยอมเจ็บตัวกับการเปลี่ยนแปลง เข้าใจว่าแหล่งงานทางด้านการประกอบรถยนต์นี่เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ให้กับคนไทย แต่ถ้าเราไม่สามารถจะพึ่งพาหรืออยู่ด้วยลมหายใจของผู้อื่นได้ตลอดไป ประเทศต้องก้าวต่อ แต่การเปลี่ยนแปลงต้องเป็นไปอย่าง smooth เท่าที่จะทำได้ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของคณะผู้นำประเทศที่ดีที่มีการวางแผนการเปลี่ยนแปลง ถามผมจุดนี้ก็คงไม่รู้ แต่มันต้องมีทางไป ถ้าได้ศึกษาจริงๆ ในระยะยาวเราจะประหยัดเวลาซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตเมืองมากที่สุด หากต้องการพัฒนาความเป็นเมืองให้ประเทศเรา การสร้างถนนก็จะลดลง บริษัทพวกก่อสร้างถนนหนทางก็ต้องมีปัญหาบ้าง  แต่ก็ต้องปรับตัว ขอย้ำเพียงตัวเดียวไม่ว่าจะสร้างจะทำอะไร คอรัปชั่นต้องลดหรือกำจัดไปให้ได้ ด้วยการเชือด ถ้าระบบมันเน่าคือมันโกงกันตั้งแต่หัวยันหาง แล้วจะทำยังไง จะจับโยนทะเลหมดก็ทำไม่ได้ ก็กำจัดที่หัว เชือดคนดังก่อน พวกตัวเล็กก็จะไม่กล้าและเลิกไปเอง

ขอเถอะครับ สร้างมันเถอะ ผมดีใจมากๆที่แอร์พอร์ตลิงค์สร้างเสร็จ ผมได้เดินทางผ่านพื้นที่การรถไฟแถวมักกะสัน มีอาคารหลังหนึ่งเขียนไว้ตรงหน้าจั่วว่า สร้างเมื่อ 2499 ผมมองลงไปจากแอร์พอร์ตลิงค์ขณะที่รถไฟเคลื่อนตัวผ่านพื้นที่นั้น มีซากหัวจักรรถไฟเก่าๆ อาคารเก่าๆหลายหลัง มีซากอะไรรกรุงรัง เหมือนพื้นที่รกร้าง ถึงเวลาต้องยอมรับแล้วครับว่าต้องเปลี่ยน ผู้บริหารประเทศก็ต้องกล้าเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ขอคนดี ทุ่มเทให้ชาติ เวลาผ่านไปแล้วไม่มีอะไรพัฒนา เราจะยอมกันอย่างนี้ไปอีกสิบยี่สิบปีหรือ ห้าปีผมก็ว่ามากพอแล้ว เปลี่ยนเอกชนจัดการไปเลย เหมือนเยอรมัน โดยรัฐถือหุ้นบางส่วน ไม่รู้นะอาจเพ้อเจ้อไป แต่คนตัวเล็กๆอย่างผมต้องการให้เกิดการพัฒนาหลายๆส่วน ซึ่งผมมั่นใจความรู้ที่เรามีพร้อมแล้วระดับหนึ่ง อาจสู้ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไม่ได้เพราะงานวิจัยเรายังน้อยกว่าเค้าหลายร้อย หลายพันเท่า เราเริ่มช้ากว่าเค้า แต่ถ้ากระจายความรู้ ประเทศก็จะเดินต่อไป เกิดการเคลื่อนย้ายประชากร

นำเสนอผลงานในรอบปีที่ผ่านมาและแผนงานวิจัยในปีนี้


นำเสนอผลงานในรอบปีที่ผ่านมาและแผนงานวิจัยในปีนี้
ระบบแลปของญี่ปุ่นนี้เข้มแข็งมากๆ มีอาจารย์โปรเฟสเซอร์ใหญ่เป็นผู้ดูแลแลปเหมือนกับผู้จัดการบริษัทเล็ก แล้วรองศาสตราจารย์กับผู้ช่วยศาสตราจารย์ ก็คอยช่วยงานทุกอย่างที่โปรเฟสเซอร์เป็นคนสั่ง แล้วแลปผมจะมีการสัมนาทุกวันศุกร์โดยจะมีคณาจารย์อีกหนึ่งแลปพานักศึกษาของเค้ามาร่วมสัมนาด้วย

วันนี้เป็นอาทิตย์ที่สองของการเปิดเทอม ซึ่งเป็นปรกติที่จะต้องมีการแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมาพร้อมทั้งนำเสนอแผนงานวิจัยว่าจะทำอะไร ในปีนี้ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นโปรเฟสเซอร์ รศ. ผศ. นักศึกษาทุกระดับ ตรี โท เอก หลังปริญญาเอก จะต้องสรุปว่าทำอะไรไปบ้าง ตีพิมพ์กี่เปเปอร์ ญี่ปุ่นเค้าคลั่งเรื่องเปเปอร์มากเพราะมันคือตัวชี้วัดความสำเร็จของการศึกษาเค้า อีกทั้งเป็นตัววัดสำคัญว่ารัฐบาลจะให้เงินทุนในการพัฒนาการศึกษาอีกด้วยถ้าหากมีผลงาน แล้วต้องบอกด้วยว่าไปพรีเซนต์กี่ที่ อบรมกี่แห่ง พร้อมทั้งบอกแผนของปีนี้ว่าได้ทุนกี่แห่ง จะทำวิจัยเรื่องอะไร ส่วนเด็กก็จะต้องบอกว่าปีที่ผ่านมาศึกษาอะไรสำเร็จบ้าง ตีพิมพ์ไปกี่เรื่อง แล้วปีนี้จะทำวิจัยอะไร

ที่น่าสนใจคือ เด็กในห้องสัมนาจากทั้งสองแลปมีประมาณสิบห้าคนรวมทุกระดับการศึกษา ได้รู้ว่าอาจารย์แต่ละคนทำอะไรบ้าง เด็กป.ตรีก็จะเกิดแรงบันดาลใจว่าถ้าเดินทางต่อสายนี้ก็มีเป้าหมายให้มองเห็นได้ว่าจะทำอะไร ไปทางไหน ส่วนเด็กป.โทป.เอก ก็จะได้ดูตัวอย่างเพื่อนๆว่ารุดหน้าไปขนาดไหน ตีพิมพ์ไปกี่เรื่อง แล้วแต่ละคนเป้าหมายเป็นอะไร จะได้ปรับให้ไปสู่เป้าหมายได้โดยดูจากเพื่อนๆ แล้วก็ยังได้ดูจากอาจารย์ท่านอื่นๆด้วย เห็นแล้วน่าปลื้มใจจริงๆ อาจารย์แต่ละท่านตีพิมพ์ไม่น้อยกว่าสามเรื่อง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการร่วมกันทำงานกับคณะวิจัยของเค้า แล้วก็มีโปรเจกอยู่ต่างประเทศหมด ความร่วมมือก็กับต่างประเทศ ที่เห็นส่วนมากก็กับอเมริกา เพราะเค้ามีชื่อเสียงทางด้านอุตุนิยมวิทยา และภูมิอากาศวิทยา ผศ.ของแลปผม ตอนแรกผมก็พอรู้ว่าเค้ามีงานวิจัยอยู่ แต่ไม่คิดว่าจะมีมากขนาดนี้ ถ้าเป็นบ้านเราคงเป็นศาตราจารย์ไปแล้ว ผมเห็นผศ.คนนี้ยังต้องไปเป็นคนจัดของในห้องแลปเลย ว่างๆก็ทำความสะอาดห้องแลป ผมก็เคยไปช่วยหลายครั้ง บางครั้งโปรเฟสเซอร์ผมก็มาช่วยด้วย ยก แบกลังหนังสือ อย่างศุกร์ที่แล้วนี่ เล่นผมซะปวดหลังเลย แต่ก็สนุกดีครับ นานๆจะได้ใช้แรงงานซะที มีอะไรที่เราทำได้ก็ช่วยๆกันไป อยู่ด้วยกันต้องรักกันครับ

อาจารย์ที่มาอยู่แลปแต่ละท่านนี่ มีแนวทางการทำวิจัยของตัวเองนะครับ ไม่มีใครครอบงำใครได้ แต่ละคนก็มีกลุ่มวิจัยของตัวเองเป็นอาจารย์อยู่แลปอื่น ไม่ก็มหาลัยอื่น หรือสถาบันวิจัย เห็นแล้วบ้านเราในอนาคตไม่รู้จะพัฒนาเป็นรูปแบบนี้ได้หรือไม่ แต่ติดตรงที่บ้านเราจะตัวใครตัวมัน เน้นระบบตะวันตกมากกว่า แต่ทางญี่ปุ่นเค้าจะเน้นลำดับอาวุโสและอายุงาน แต่ไม่ใช่ว่าแก่แต่ไม่มีความรู้นะครับ เพราะยิ่งแก่ยิ่งเคี่ยว ก็เล่นทำวิจัยกันสี่ห้าชิ้นต่อปี จะไม่เคี่ยวได้ยังไงครับ ใครไม่มีผลงาน ก็จะอายกันไปละครับ เห็นแล้วก็น่าเลื่อมใสและเคารพอย่างมาก สมกับเป็นอาจารย์มหาลัยมากๆ เรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่มีนะครับ พรีเซนต์เรื่องรับงานนอก หรือบริการวิชาการ เหมือนอาจารย์บ้านเรา ไม่มีนะครับจะมาอ้างว่าทำงานบริหาร ไม่มีใครเลยที่เอามาพรีเซนต์ งานวิจัยเน้นๆ ครับ บ้านเราถ้าแต่ละปีก็ควรจะมาแถลงผลงานอย่างนี้บ้างจะได้รู้ใครทำอะไร ไม่ทำอะไร สมกับเป็นอาจารย์หรือไม่

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

ทำอย่างไรให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ภาคต่อเนื่อง

ทำอย่างไรให้ประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ภาคต่อเนื่อง


ผมคิดว่าคนเก่งๆ อยู่แต่ในกรุงเทพเยอะเกินไป เพราะแหล่งงาน ครอบครัว การศึกษา ชีวิตเค้าอยู่ที่นั่น แต่หากผมว่าทางที่จะทำให้ประเทศเราเจริญได้อีกทางหนึ่งนั้น ในแง่การศึกษา ผมคิดว่าคนที่เรียนเก่งๆ ขอเก่งจริงๆนะครับ ขอให้ออกมาอยู่ตามมหาลัยรอบนอกกันเยอะๆ เพราะอะไร เพราะผมเคยเห็นเมื่อยุคห้าสิบปีก่อน ตอนมีมหาลัยภูมิภาคใหม่ๆ เช่นที่ ม.เชียงใหม่ มีกลุ่มของนักศึกษาที่เรียนดีๆ เก่งๆ ได้เกียรตินิยม จากมหาลัยดังๆในกรุงเทพ จุฬา ธรรมศาสตร์ มหิดล เกษตร ได้ยกขบวนพร้อมใจกันมาเป็นอาจารย์ในยุคก่อตั้ง กันหลายระลอก อาจารย์ผมเองนี่แหละ ท่านเหล่านี้ได้มาสอนก่อนสี่ห้าปี จากนั้นก็มุมานะ อุตสาหะไขว่คว้าหาทุนจากภายนอกประเทศ ดิ้นรนเพื่อไปศึกษาต่อให้ได้ความรู้กลับมาสอนนักศึกษาตาดำๆ รอบนอกที่รอคอยความรู้เพื่อพัฒนาชีวิตและครอบครัว เพราะทุนประเทศไทยในตอนนั้นมีจำกัด อาจารย์ผมหลายท่านได้ไปเรียนต่อทั้งยุโรปและอเมริกา จากนั้นก็ดึงอาจารย์รุ่นน้องให้ได้ไปเรียนต่อกันในระดับปริญญาเอก

นี่คือเหตุผลว่าทำไมมหาลัยรอบนอก ถึงต้องการคนเก่ง เรียนดี มาเป็นอาจารย์ เพราะคนเหล่านี้จะสามารถขอทุนนอกประเทศได้ จะขวนขวาย เพราะการพิจารณาผู้รับทุนของทุนต่างประเทศนั้น เรื่องพื้นฐานการศึกษาของคนสมัครก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ จะช่วยทุ่นแรงมหาลัยรอบนอกที่มีกำลังไม่เพียงพอต่อการส่งอาจารย์ไปเรียนต่อได้ทั้งหมด เพราะจะได้เอาเงินทุนที่เหลือส่งอาจารย์ท่านอื่นที่พลาดโอกาสขอทุนอื่นนอกประเทศได้

แต่ยี่สิบปีให้หลังผมไม่ค่อยเห็นคนเก่งๆในกทม. มาเป็นอาจารย์ที่ต่างจังหวัดเลย มีแต่เป็นส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับยุคห้าสิบปีก่อน อาจเป็นเพราะมหาลัยในกทม.มีเยอะมากขึ้น แหล่งงานเยอะขึ้น ก็เลยไม่มีคนเก่งๆ อยากออก ซึ่งผมว่าไม่ดีต่อการพัฒนาประเทศ เพราะมันจะกลายเป็นการโตเดี่ยว นำโด่ง เหมือนนักฟุตบอลที่เก่งคนเดียว พอตะลุยไปจนเจอคู่ต่อสู้รุมแล้วจะไปไม่เป็น แล้วมันจะทำให้คนรอบนอกอยากเข้าไปในกทม.มากขึ้นเพราะเหตุผลด้านการศึกษา เมื่อจบแล้วก็มีแหล่งงานด้วย ครบเลย ซึ่งมันไม่ควรจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น

คนเก่งๆ ก็ควรต้องเป็นคนที่มีอุดมการณ์ด้วย จะได้ช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองเรา เอาแรงเล็กๆของเรานี่แหละ ช่วยประเทศตามทางที่เราถนัด

ที่เขียนมานี้ไม่ใช่ว่าอาจารย์รอบนอกเก่งๆ ไม่มีนะครับ เดี๋ยวจะมารุมด่าผมซะหมด มีมหาลัยเกิดใหม่หลายแห่ง ที่มีอาจารย์เก่งๆอยู่มากมาย เป็นอาจารย์รุ่นใหม่ที่รอวันเติบโต รวมทั้งกลางเก่ากลางใหม่ แต่ก็ต้องยอมรับบางส่วนในสิ่งที่ผมได้เล่ามาในมุมที่ผมได้สัมผัส

ทำไมโลกนี้ถึงมีคนรัก คนเกลียด คนโลภ คนหลง คนขี้อิจฉา คนดี คนเลว

ทำไมโลกนี้ถึงมีคนรัก คนเกลียด คนโลภ คนหลง คนขี้อิจฉา คนดี คนเลว
หากคนเราไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง โลกนี้จะเป็นอย่างไร
ทำไมคนเราถึงชอบติเตียน ชอบทำลาย มากกว่าสร้างสรรค์

ทำไมคนเราชอบมองแต่ข้อเสีย มากกว่าข้อดี

ทำไมคนมีการศึกษาดี ส่วนใหญ่ถึงเห็นแก่ตัว (ยืนยันครับ)
ทำไมคนเราถึงชอบรับ มากกว่าเป็นผู้ให้
ทำไมคนเรายิ่งโต ยิ่งมีความซับซ้อนในจิตใจ ไม่เหมือนเด็ก
ทำไมคนเราชอบคิดแต่เปลือก เห็นคนอื่นทำได้ ก็คิดว่าได้มาง่ายๆ
ทำไมคนเราชอบเป็นนังเลงคีย์บอร์ด มากกว่าแอคชั่นจริงๆ
ทำไมคนเรียนดี ไม่ค่อยมีผู้กล้า

ทำไมคนเราชอบทำตามๆกันไป
ทำไมคนเราชอบเชื่อ ชอบสรุป โดยดูหรืออ่านแค่มุมเดียว
ทำไมคนเราเมื่อโตมาถึงทำอะไรเพื่อหวังผลซักอย่างแก่ตัวเอง (มีน้อยคนจะทำเพื่อคนอื่นจริงๆ)
ทำไมคนเราถึงสนุกกับการนินทา โดยที่ไม่ได้มองตัวเองเป็นอันดับแรก
ทำไมคนเราถึงเชื่อในสิ่งที่เคยได้รับรู้มาก่อน โดยไม่ได้มองถึงความไม่เที่ยงของสิ่งที่ได้รับรู้นั้น
ทำไมคนเราไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ก่อนที่จะไปยุ่งกับหน้าที่ของคนอื่น
ทำไมบางคนถึง ปากหวานก้นเปรี้ยว
ทำไมบางพูดไม่ได้เรื่อง แต่พอคบไป ดันเป็นคนจริงใจ
ทำไมคนเราชอบพูดเรื่องตัวเอง แต่ไม่ชอบฟัง หรือ ถามเรื่องของคู่สนทนา
ทำไมคนเราชอบพลางตัว ไม่ชอบเปิดเผย ไม่กล้า หรือไม่มั่นใจ กล้าๆหน่อยดิ

ทำไมคนเรียนดีๆ เก่งในมหาลัยในกรุงเทพ ถึงไม่ค่อยอยากออกมาทำงานต่างจังหวัด
ทำไมอาจารย์มหาลัยในต่างจังหวัด ถึงไม่ค่อยมีคนเก่งๆ จากมหาลัยในกทม. ยกเว้น มข.มช มอ. เมื่อ50 ปี
ทำไมคนเราถึงชอบอำนาจ
ทำไมคนเราคิดว่าคนที่พูดน้อย คือ คนที่ยอมคน อะไรก็ได้งั้นหรือ

คน ที่เรียนปริญญาเอกในปัจจุบัน เรียนเพื่อต้องการความรู้จริงๆหรือไม่ หรือเรียนเพราะไม่มีอะไรทำ หรือเรียนเพราะมีแรงกดดันบีบบังคับให้ทำ หรือเรียนเพราะเรียนเก่ง เรียนแล้วจะเอาไปทำอะไร หรือตั้งใจที่จะทำอะไรถึงเรียน

คนเรียนปริญญาโท เรียนไปทำไม เรียนเพื่ออะไร เรียนแล้วจะเอาไปทำอะไร คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร ห้าปี สิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี ต่อไปจะเอาความรู้ที่มีไปทำอะไร เรียนเพราะไม่อยากทำงานหรือเปล่า เรียนเพราะพ่อแม่ให้เงินถึงเรียน แต่ถ้าไม่เรียนต้องหางานทำเอง เรียนแล้วเรียนได้ดีกับเงินที่ถลุงไปหรือไม่ เรียนแล้วใครได้ประโยชน์หากไม่นับตัวเอง



วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

ทำอย่างให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว


ทำอย่างให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

ช่วงสองอาทิตย์นี้ผมเดินทางไปดูบ้านเมืองญี่ปุ่นติดกันเลย เพราะเป็นช่วงดอกไม้บาน ดอกซากุระน่ะครับ นั่งรถไฟไป ก็คิดไป หลายเรื่องหลายราว อ่านหนังสือวินทร์ เรียววารินทร์ จบไปสามเล่มระหว่างการนั่งรถไฟ ไปเที่ยวดูปราสาท Himeji jo และเมื่ออาทิตย์ก่อนไป Wakayama ด้วยตั๋ว Kansai pass เห็นบ้านเมือง เห็นคน เห็นความเจริญที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจ ของคนทุกระดับที่นี่แล้ว ก็น่าชื่นชม จนอยากเห็นบ้านเมืองเราเจริญอย่างเค้าบ้าง จะได้ไม่น้อยหน้าใคร และจะได้พูดได้เต็มปากว่าบ้านเมืองเราเจริญเพราะบรรพบุรุษเราปกป้องบ้านเมืองไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นหรือแพ้สงคราม 
ไม่มีใครที่เคยมาอยู่ หรือมาท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วปฎิเสธว่าที่นี่ ประเทศนี้ไม่ใช่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งวัตถุ คน จิตใจ(ของคนในโลกสมัยใหม่) ล้วนแล้วแต่จัดว่าอยู่สูงกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชีย แล้วคนญี่ปุ่นที่ผมรู้สึก ก็ไม่ได้เรียกตัวเองว่าคนเอเชีย เค้าเรียกพวกประเทศอย่างเราว่าเอเชีย อาจเป็นเพราะเค้าเป็นเกาะที่แยกตัวออกไป หรืออาจเป็นเพราะไม่อยากถูกจัดกลุ่มเป็นพวกเดียวกับเรา

ประเทศไทยของเรา ในความคิดของผม ถ้าต้องการให้พัฒนาทันกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ต้องกระจายและยกระดับคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งการศึกษาให้ทั่วทั้งประเทศให้เร็วที่สุด ตอนนี้พวกเรากำลังทำอยู่ซึ่งเป็นแนวทางที่กำลังไปได้ดี แม้ว่าจะเน้นเชิงปริมาณก่อน กระจายมหาลัยไปทั่วให้ทุกภูมิภาค ทุกพื้นที่ เน้นปรัชญาการเรียนรู้ด้วยตนเอง การพึ่งตนเอง การหาแหล่งความรู้ด้วยตนเองให้มาก ไม่ใช่เอาแต่เฟสบุ๊ก บันเทิง หรือดูแต่ยูทูปที่เน้นบันเทิง จริงๆยูทูปมีประโยชน์มากๆ ก็ดาบสองคมถ้า คนใช้ไม่มีหลัก มันก็ทำลายตัวคนใช้เอง จะเห็นว่าเราสามารถเรียนหรือหาความรู้เพิ่มเติมจากยูทูปได้ อย่าง MIT มีกลุ่มอาจารย์และติวเตอร์มาสอนเรื่องคณิตศาสตร์แคลคูลัส เป็นต้น เราหาแหล่งความรู้ได้ตลอด จากอินเตอร์เนต หากต้องการรู้จริงๆ เราต้องกรองข้อมูลข่าวสารให้เป็น ซึ่งก็ยังไม่มีใครในบ้านในเมืองที่ออกมาอธิบายถึงหลักการกรองข้อมูลข่าวสาร ไม่งั้นบ้านเมืองคงสงบกว่านี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ เรื่องตรรกะ ถ้ามีและฝึกฝนมัน สิ่งนี้ก็คือหลักในการกรองข้อมูลแล้วล่ะ

บ้านเราต้องพยายามยกระดับความรู้ในเชิงคุณภาพให้กับคนที่ไม่รู้ให้ได้มากที่สุด ถ้าหากเราทำให้คนที่ไม่ใช่คนกรุงเทพ รอบรู้ได้เท่าหรือใกล้เคียงคนในกรุงเทพ ณ ตอนนี้ได้ ประเทศเราก็จะถูกจัดเป็นประเทศพัฒนาในไม่ช้า ทำอย่างไรคนต่างจังหวัดปรับตัวได้ไว ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ทันต่อการแข่งขัน รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ตื่นตัว ได้เท่ากับคนกรุงเทพ เพราะที่ญี่ปุ่นไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่ไหน คุณก็สามารถเข้าถึงข่าวสารได้อย่างเท่าเทียมกัน แม้ว่ามันจะมีปัญหาคล้ายคลึงกับเมืองไทย แต่สเกลความไม่เท่าเทียม เมื่อเทียบไทยแล้ว เค้ามีช่องว่างน้อยกว่าเราเยอะ ทำอย่างไรเราจะลดช่องว่างเหล่านี้ได้ ผมคิดว่าคำตอบคือ การกระจายการศึกษาที่มีคุณภาพ การกระจายหลักการเรียนรู้ทั้งนอกและในระบบ(เรามีอยู่แล้ว มหาลัยเปิด) การกระจายแหล่งงาน (มหาลัยต่างจังหวัดเยอะขึ้นในปัจจุบัน แต่เด็กจบแล้วก็ต้องเข้าเมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่)

เรื่องภาษาอังกฤษทางด้านวิชาการ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างเร่งด่วน หมายถึงภาษาอังกฤษที่เน้นคุณภาพ ใช้งานได้จริงๆในการอ่านงาน จะได้เปิดโลกกว้างๆจริงๆซะที บ้านเราตำราไม่ได้มีมากและลึกเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว ญี่ปุ่น เยอรมันเป็นต้น ฉะนั้นเราต้องฝึกให้เด็กอ่านภาษาอังกฤษให้ได้ เอาความรู้โดยตรงจากแหล่งความรู้ แล้วก็แปลตำราภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยไปพร้อมๆกัน เหมือนที่กำลังทำอยู่ ต้องรีบและเร่งให้เร็ว ก่อนที่เราจะพ่ายในศึกการเปิดเสรีอาเซียนในปี 2558 เราจะป้องกันแรงงานหัวกระทิของเราไม่ให้ไหลไปประเทศสิงคโปร์มาเลย์อย่างไร แล้วเราจะเอาความรู้จากแรงงานหัวกระทิ หรือดึงดูดแรงงานหัวกระทิจากประเทศอาเซียนให้มาพัฒนาประเทศของเราได้อย่างไร ในเมื่อภาษาอังกฤษเชิงคุณภาพของเรายังไม่รุดหน้าอย่างเร็วเท่าที่โลกกำลังหมุนไป

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

วัฒนธรรมญี่ปุ่น: เรื่องการดูทีวี

วัฒนธรรมญี่ปุ่น: เรื่องการดูทีวี


ถามว่าปรกติคนญี่ปุ่นดูทีวีกี่ชั่วโมงต่อวัน เด็กในแลปตอบว่า แล้วแต่คน แต่โดยเฉลี่ยตามประสบการณ์เค้าแล้ว ไม่น่าจะเกินสองชั่วโมงต่อวัน จะดูไปด้วยกินข้าวไปด้วย หรือเวลาตอนเช้า จะไม่มานั่งดูละครเหมือนเมืองไทย เพราะไม่่มีละครทั้งวันให้ดู

ถามว่าตอนเด็กๆคนญี่ปุ่นดูการ์ตูนหรือไม่ เค้าบอก ดูกันทุกคน แต่โตมาก็ไม่ได้ดูนะ
เด็กในแลปจะรู้จริงในสิ่งที่ตอนเองศึกษาและทำอยู่ แต่จะไม่ค่อยรู้เรื่องอื่น เพราะส่วนใหญ่บอกว่าไม่มีทีวี ยิ่งเปลี่ยนจากอนาล็อกเป็นดิจิตอล ก็ยิ่งไม่ได้ดูใหญ่เพราะเครื่องแพง ไม่มีเงินซื้อและไม่มีเวลา