ประชุมวิจัยเรื่องน้ำๆของเมืองไทยที่เซนได
ญี่ปุ่น (IMPAC-T) 17.10.2013
ช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน2556
ผมต้องเดินทางไปเซนไดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น(Tohoku) หรือเรียกง่ายๆว่าแถบอีสานของญี่ปุ่น(ใกล้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะ)
เพื่อเข้าประชุมกับนักวิจัย โปรเฟสเซอร์ ที่เป็นมืออาชีพเรื่องเกี่ยวกับน้ำทั้งหลายรูปแบบที่มีทั้งจากญี่ปุ่นและมาจากประเทศไทย
โดยมีมาจากไทยร่วม50ชีวิตถือว่าเยอะมากๆในการพานักวิจัยมันสมองของประเทศมาประเทศญี่ปุ่นครานี้
การประชุมนี้ถือว่าเป็นการพลิกโฉมการช่วยเหลือประเทศไทยจากองค์กรของรัฐบาลญี่ปุ่น
ที่ปรกติจะช่วยเหลือประเทศไทยในรูปของโครงสร้างพื้นฐาน หรือซื้ออุปกรณ์นู้นนี่นั่นให้เลย
ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ประโยชน์ในระดับหนึ่ง แต่มันไม่ยั่งยืนในเรื่องของการพัฒนาและความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
เพราะเหมือนกับไม่ได้สอนวิธีการหาปลา แต่เอาปลาให้กินเลย มันก็ได้แค่ช่วงแรกๆในตอนที่ยังไม่มีอะไรจะกิน
แล้วความสัมพันธ์ก็ไม่ได้ถูกสานต่ออย่างมีประสิทธิภาพในเรื่องคนของทั้งสองประเทศ แต่บัดนี้ประเทศไทยก้าวไปอีกระดับหนึ่งแล้วซึ่งมีบุคลากรที่พร้อมจะเรียนรู้และรับความช่วยเหลือรูปแบบใหม่
ครานี้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ตั้งใจช่วยเหลือประเทศไทยผ่านทางโครงการ
SATREPS ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก JST (Japan Science and Technology Agency) และ JICA (Japan International Cooperation Agency) โดยหนึ่งในโครงการนั้นมีโครงการที่เรียกว่า
IMPAC-T (Integrated study
on Hydro-Meteorological Prediction and Adaptation to Climate Change in
Thailand) เป็นโครงการศึกษาคาดการณ์ด้านอุตุนิยมวิทยาอุทกวิทยาและการปรับตัวต่อภูมิอากาศเปลี่ยนในประเทศไทย โดยผู้เขียนโครงร่างขอทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นชื่อ
Prof.Taikan Oki ศาสตราจารย์นักวิจัยผู้คร่ำหวอดในวงการเรื่องน้ำของโลกเพราะเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในรายงาน
IPCC และท่านผู้นี้ก็ได้เคยทำการปั้นบุคลากรนักวิจัยทางด้านน้ำให้ญี่ปุ่นและหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยหลายท่าน
ปัจจุบันลูกศิษย์ของท่านก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำทั้งในมหาลัยและหน่วยงานรัฐเอกชนที่เกี่ยวข้องให้กับประเทศไทย ถือว่าเป็นบุญของประเทศไทยที่ได้รับความรู้ในจุดนี้มาช่วยพัฒนาประเทศผ่านทางศาสตราจารย์ท่านนี้
โครงการ IMPAC-T นี้ได้สนับสนุนทุนให้กับนักวิจัย อาจารย์ นักวิชาการ ของประเทศไทย โดยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย(โดยมีม.เกษตรศาสตร์รับช่วยเหลือเป็นแม่งาน)
องค์กรรัฐ ส่งนักวิจัยเข้าร่วม เพื่อทำวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องน้ำในหลากหลายมิติในประเทศไทย
เช่น การจำลองน้ำท่วม การศึกษาการผันแปรของฝน การศึกษาเรื่องโลกร้อนและผลกระทบต่อประชาชน
เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเรื่องน้ำ เป็นต้น หน่วยงานของรัฐหลักๆที่สนับสนุนข้อมูลในงานวิจัยก็คือ
กรมชลประทาน กับ กรมอุตุนิยมวิทยา โดยเป็นการเรียนรู้ร่วมกันในคราวนี้คือ นักวิชาการในกรมจะต้องทำการวิจัยร่วมไปด้วยกับโปรเฟสเซอร์จากทางญี่ปุ่นที่จะคอยกำกับและให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ
แน่นอนว่าในกรมกองนั้นมีนักวิชาการเก่งๆหลายท่าน(มีหลายท่านเป็นดร.ที่เก่งจริงๆ) นักวิชาการมักจะไม่เป็นข่าวและไม่ชอบประชาสัมพันธ์
เราๆท่านๆเลยมักไม่ค่อยรู้ แต่ท่านเหล่านี้เป็นผู้ขับเคลื่อนที่สำคัญส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศไทยนั่นคือ
เป็นมันสมองของประเทศ
ส่วนอาจารย์ตามมหาลัย ก็ได้นำเสนอโครงร่างงานวิจัยต่อคณะนักวิจัยญี่ปุ่นที่มีโปรเฟสเซอร์เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง
แล้วก็ได้ทุนมาทำวิจัย ซื้ออุปกรณ์ จ้างผู้ช่วยนักวิจัยซึ่งเป็นเด็กนักศึกษา และทางญี่ปุ่นยังสนับสนุนในการดูงาน
อบรมที่ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากนั้นผลงานที่ทำเสร็จในแต่ละขั้น ก็จะต้องนำเสนอในรูปแบบการบรรยายหรือโปสเตอร์
ในงานประชุมวิชาการของแต่ละช่วงในรอบปี โครงการIMPAC-Tนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2010-2013 ดังนั้นนักวิจัยแต่ละท่านก็ได้นำเสนอผลงานไปแล้วหลายครา
ทำให้ได้ประสบการณ์เต็มๆกันไป
สิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นตัววัดความสำเร็จของโครงการนี้ที่เป็นรูปธรรมคือ
การตีพิมพ์ผลงานวิจัยในรูปแบบวารสารวิชาการ
ซึ่งยุคปัจจุบันถือว่าเป็นตัวชี้วัดที่มาตรฐานมากที่สุดในแวดวงวิชาการ เป็นการนำองค์ความรู้ที่หามาได้มาจัดระเบียบและเผยแพร่แก่สาธารณชน
ส่วนใครจะเอาไปประยุกต์ใช้อย่างไรก็ตามแต่กำลังต่อไป
ในมุมมองของผมต่อนักวิจัยไทยนั้นต้องยอมรับว่าเราห่างไกลมากๆในระดับความเป็นมืออาชีพของการวิจัยในระดับสากล
เรามีดร.หลายท่านในโครงการแต่ผมก็ยังมองว่าเรายังเป็นเหมือนเด็กที่ทำวิจัยเป็นแต่ไม่เชี่ยวชาญและลึกเท่าเมื่อเทียบกับนักวิจัยญี่ปุ่นที่มีความเป็นมืออาชีพ
บางท่านตีพิมพ์วารสารเป็นร้อยๆฉบับในวารสารที่น่าเชื่อถือ
นักวิจัยของเราได้แค่สิบฉบับก็ถือว่าเก่งมากแล้วได้เป็นอย่างน้อยก็ รศ.ดร. แล้วที่สำคัญความสามัคคีช่วยเหลือ
ร่วมกันเรียนรู้และโตไปด้วยกัน เป็นคุณสมบัติที่ทำให้งานวิจัยญี่ปุ่นก้าวไปได้เร็วและมีคุณภาพ
จะเห็นว่าโครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นและโอกาสอันดีของความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นกับไทยที่ได้เรียนรู้ร่วมกันหลายด้านไม่ได้แค่ด้านวิชาการเท่านั้น
เป็นการช่วยเหลืออีกรูปแบบที่ไม่เน้นวัตถุแต่เน้นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศผู้รับทุน
ซึ่งการให้วิทยาทานเป็นทานที่ประเสริฐที่สุด แล้วหวังว่าความร่วมมือในการศึกษาร่วมกันนี้จะถูกสานต่อในงานวิจัยวิชาการในอนาคตอันใกล้นี้ต่อไปอีก
ประเทศร่วมจะได้เรียนรู้และพัฒนาไปอีกระดับ แล้วจะนำมาซึ่งความยั่งยืนของความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับไทย
จงพยายามประคองและพัฒนาความสัมพันธ์อันดีนี้ให้คงอยู่ต่อไปเพื่อโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาของประเทศไทย
อันจะกระจายความรู้เหล่านี้ไปสู่ลูกหลานของเราเพื่อการพัฒนาของประเทศให้เป็นประเทศที่เจริญแล้วในอนาคตอันใกล้นี้ ส่วนตัวผมก็เหมือนเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ประสีประสาอะไรจริงจังกับงานวิจัยด้านนี้เลย ต้องพัฒนาเรียนรู้ไปตลอดในสิ่งที่ชอบนี้จนกว่าจะหมดแรง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น