วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ประชุมวิจัยเรื่องน้ำๆของเมืองไทยที่เซนได ญี่ปุ่น (IMPAC-T)


ประชุมวิจัยเรื่องน้ำๆของเมืองไทยที่เซนได ญี่ปุ่น (IMPAC-T) 17.10.2013

ช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน2556 ผมต้องเดินทางไปเซนไดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น(Tohoku) หรือเรียกง่ายๆว่าแถบอีสานของญี่ปุ่น(ใกล้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะ) เพื่อเข้าประชุมกับนักวิจัย โปรเฟสเซอร์ ที่เป็นมืออาชีพเรื่องเกี่ยวกับน้ำทั้งหลายรูปแบบที่มีทั้งจากญี่ปุ่นและมาจากประเทศไทย โดยมีมาจากไทยร่วม50ชีวิตถือว่าเยอะมากๆในการพานักวิจัยมันสมองของประเทศมาประเทศญี่ปุ่นครานี้ การประชุมนี้ถือว่าเป็นการพลิกโฉมการช่วยเหลือประเทศไทยจากองค์กรของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ปรกติจะช่วยเหลือประเทศไทยในรูปของโครงสร้างพื้นฐาน หรือซื้ออุปกรณ์นู้นนี่นั่นให้เลย ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ประโยชน์ในระดับหนึ่ง แต่มันไม่ยั่งยืนในเรื่องของการพัฒนาและความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เพราะเหมือนกับไม่ได้สอนวิธีการหาปลา แต่เอาปลาให้กินเลย มันก็ได้แค่ช่วงแรกๆในตอนที่ยังไม่มีอะไรจะกิน แล้วความสัมพันธ์ก็ไม่ได้ถูกสานต่ออย่างมีประสิทธิภาพในเรื่องคนของทั้งสองประเทศ แต่บัดนี้ประเทศไทยก้าวไปอีกระดับหนึ่งแล้วซึ่งมีบุคลากรที่พร้อมจะเรียนรู้และรับความช่วยเหลือรูปแบบใหม่

ครานี้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ตั้งใจช่วยเหลือประเทศไทยผ่านทางโครงการ SATREPS ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก JST (Japan Science and Technology Agency) และ JICA (Japan International Cooperation Agency) โดยหนึ่งในโครงการนั้นมีโครงการที่เรียกว่า IMPAC-T (Integrated study on Hydro-Meteorological Prediction and Adaptation to Climate Change in Thailand) เป็นโครงการศึกษาคาดการณ์ด้านอุตุนิยมวิทยาอุทกวิทยาและการปรับตัวต่อภูมิอากาศเปลี่ยนในประเทศไทย โดยผู้เขียนโครงร่างขอทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นชื่อ Prof.Taikan Oki ศาสตราจารย์นักวิจัยผู้คร่ำหวอดในวงการเรื่องน้ำของโลกเพราะเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในรายงาน IPCC และท่านผู้นี้ก็ได้เคยทำการปั้นบุคลากรนักวิจัยทางด้านน้ำให้ญี่ปุ่นและหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยหลายท่าน ปัจจุบันลูกศิษย์ของท่านก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำทั้งในมหาลัยและหน่วยงานรัฐเอกชนที่เกี่ยวข้องให้กับประเทศไทย ถือว่าเป็นบุญของประเทศไทยที่ได้รับความรู้ในจุดนี้มาช่วยพัฒนาประเทศผ่านทางศาสตราจารย์ท่านนี้

โครงการ IMPAC-T นี้ได้สนับสนุนทุนให้กับนักวิจัย อาจารย์ นักวิชาการ ของประเทศไทย โดยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย(โดยมีม.เกษตรศาสตร์รับช่วยเหลือเป็นแม่งาน) องค์กรรัฐ ส่งนักวิจัยเข้าร่วม เพื่อทำวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องน้ำในหลากหลายมิติในประเทศไทย เช่น การจำลองน้ำท่วม การศึกษาการผันแปรของฝน การศึกษาเรื่องโลกร้อนและผลกระทบต่อประชาชน เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเรื่องน้ำ เป็นต้น หน่วยงานของรัฐหลักๆที่สนับสนุนข้อมูลในงานวิจัยก็คือ กรมชลประทาน กับ กรมอุตุนิยมวิทยา โดยเป็นการเรียนรู้ร่วมกันในคราวนี้คือ นักวิชาการในกรมจะต้องทำการวิจัยร่วมไปด้วยกับโปรเฟสเซอร์จากทางญี่ปุ่นที่จะคอยกำกับและให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ แน่นอนว่าในกรมกองนั้นมีนักวิชาการเก่งๆหลายท่าน(มีหลายท่านเป็นดร.ที่เก่งจริงๆ) นักวิชาการมักจะไม่เป็นข่าวและไม่ชอบประชาสัมพันธ์ เราๆท่านๆเลยมักไม่ค่อยรู้ แต่ท่านเหล่านี้เป็นผู้ขับเคลื่อนที่สำคัญส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศไทยนั่นคือ เป็นมันสมองของประเทศ

ส่วนอาจารย์ตามมหาลัย ก็ได้นำเสนอโครงร่างงานวิจัยต่อคณะนักวิจัยญี่ปุ่นที่มีโปรเฟสเซอร์เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง แล้วก็ได้ทุนมาทำวิจัย ซื้ออุปกรณ์ จ้างผู้ช่วยนักวิจัยซึ่งเป็นเด็กนักศึกษา และทางญี่ปุ่นยังสนับสนุนในการดูงาน อบรมที่ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากนั้นผลงานที่ทำเสร็จในแต่ละขั้น ก็จะต้องนำเสนอในรูปแบบการบรรยายหรือโปสเตอร์ ในงานประชุมวิชาการของแต่ละช่วงในรอบปี โครงการIMPAC-Tนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2010-2013 ดังนั้นนักวิจัยแต่ละท่านก็ได้นำเสนอผลงานไปแล้วหลายครา ทำให้ได้ประสบการณ์เต็มๆกันไป

สิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นตัววัดความสำเร็จของโครงการนี้ที่เป็นรูปธรรมคือ การตีพิมพ์ผลงานวิจัยในรูปแบบวารสารวิชาการ ซึ่งยุคปัจจุบันถือว่าเป็นตัวชี้วัดที่มาตรฐานมากที่สุดในแวดวงวิชาการ เป็นการนำองค์ความรู้ที่หามาได้มาจัดระเบียบและเผยแพร่แก่สาธารณชน ส่วนใครจะเอาไปประยุกต์ใช้อย่างไรก็ตามแต่กำลังต่อไป

ในมุมมองของผมต่อนักวิจัยไทยนั้นต้องยอมรับว่าเราห่างไกลมากๆในระดับความเป็นมืออาชีพของการวิจัยในระดับสากล เรามีดร.หลายท่านในโครงการแต่ผมก็ยังมองว่าเรายังเป็นเหมือนเด็กที่ทำวิจัยเป็นแต่ไม่เชี่ยวชาญและลึกเท่าเมื่อเทียบกับนักวิจัยญี่ปุ่นที่มีความเป็นมืออาชีพ บางท่านตีพิมพ์วารสารเป็นร้อยๆฉบับในวารสารที่น่าเชื่อถือ นักวิจัยของเราได้แค่สิบฉบับก็ถือว่าเก่งมากแล้วได้เป็นอย่างน้อยก็ รศ.ดร. แล้วที่สำคัญความสามัคคีช่วยเหลือ ร่วมกันเรียนรู้และโตไปด้วยกัน เป็นคุณสมบัติที่ทำให้งานวิจัยญี่ปุ่นก้าวไปได้เร็วและมีคุณภาพ

จะเห็นว่าโครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นและโอกาสอันดีของความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นกับไทยที่ได้เรียนรู้ร่วมกันหลายด้านไม่ได้แค่ด้านวิชาการเท่านั้น เป็นการช่วยเหลืออีกรูปแบบที่ไม่เน้นวัตถุแต่เน้นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศผู้รับทุน ซึ่งการให้วิทยาทานเป็นทานที่ประเสริฐที่สุด แล้วหวังว่าความร่วมมือในการศึกษาร่วมกันนี้จะถูกสานต่อในงานวิจัยวิชาการในอนาคตอันใกล้นี้ต่อไปอีก ประเทศร่วมจะได้เรียนรู้และพัฒนาไปอีกระดับ แล้วจะนำมาซึ่งความยั่งยืนของความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับไทย จงพยายามประคองและพัฒนาความสัมพันธ์อันดีนี้ให้คงอยู่ต่อไปเพื่อโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาของประเทศไทย อันจะกระจายความรู้เหล่านี้ไปสู่ลูกหลานของเราเพื่อการพัฒนาของประเทศให้เป็นประเทศที่เจริญแล้วในอนาคตอันใกล้นี้ ส่วนตัวผมก็เหมือนเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ประสีประสาอะไรจริงจังกับงานวิจัยด้านนี้เลย ต้องพัฒนาเรียนรู้ไปตลอดในสิ่งที่ชอบนี้จนกว่าจะหมดแรง

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อ่อนน้อมถ่อมตน



การอ่อนน้อมถ่อมตน 16.10.2013

การอ่อนน้อมถ่อมตนถือเป็นเอกลักษณ์ของวิถีไทยเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะกับผู้ใหญ่ คนวัยเดียวกัน หรือแม้กระทั่งเด็กกว่า ผมคิดว่าเราก็ควรต้องทำ และควรรักษาเอาไว้ต่อไป หากเอาสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้กับงานวิชาการก็อาจต้องมาปรับหน่อยว่าเราอยู่ที่ไหน “ when in Rome do as the romans do”  นั่นคือเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม

ผมเคยไปนำเสนองานวิจัยในเวทีต่างประเทศในเอเชียตะวันออก แล้วได้เจอพูดคุยกับนักวิจัยที่เก่งจากเอเชียมีทั้งญี่ปุ่น ไต้หวัน(แต่เป็นอเมริกัน) เกาหลี(แต่เป็นอเมริกัน) ผมก็ต้องเดินเข้าหาเข้าถามเพื่อขอความรู้และประสบการณ์ที่ท่านเหล่านั้น ในยามที่มีโอกาสเช่นตอนพักดื่มกาแฟ หากระหว่างการสนทนาเราหยิ่งพยองและอวดภูมิที่ไม่ได้มีการพิสูจน์จริงๆเช่นการตีพิมพ์ หรืออวดดีโอหังเกินไป มันจะทำให้เสียต่อตัวเองในโอกาสที่จะได้ความรู้จากท่านเหล่านั้น ยิ่งมาเจอกลุ่มนักวิจัยญี่ปุ่น ยิ่งต้องระวังในเรื่องการอ่อนน้อมถ่อมตน แต่หากเราอ่อนน้อมและถ่อมตนเกินไปอาจจะดูเหมือนว่าเราดูถูกและไม่มั่นใจตัวเอง ทำให้น่าสมเพชก็เป็นได้

ไม่ใช่ว่าการอ่อนน้อมจะเป็นเอกลักษณ์ของชาวตะวันออกอย่างเดียว ใช่ว่าตะวันตกจะไม่มี เพื่อนชาวเยอรมันบอกว่าไม่ค่อยชอบคนโน้นเพราะพูดมั่นใจเกินไปจนอวดดี แต่ก็เพื่อนอีกคนก็พูดว่านี่คุณอย่าพูดถ่อมตัวให้มากนักสิ อาจารย์โปรเฟสเซอร์ก็ไม่ชอบอะไรที่คุณมั่นใจจนเกินไปอาจต้องอธิบายกันยาวก็เป็นได้ เพราะความจริงมันมีหลายเหลี่ยมและหลายมุมมอง ฉะนั้นเข้าไปอยู่เมืองไหนหรือแถบนั้นก็ต้องปรับตามวัฒนธรรมด้วยแต่ก็ให้คงไว้ถึงการอ่อนน้อมถ่อมตน บอกตัวเองอยู่เสมอว่าเราไม่ใช่คนแรกที่รู้และสิ่งที่รู้อาจไม่จริงเสมอไป นั่นก็คือ ผมคิดว่าหากเรารู้อะไรก็พูดออกไปพอประมาณในสิ่งที่คิดว่าถูก ซึ่งสิ่งที่เรารู้อาจจะเป็นเพียงแค่ตาบอดคลำช้างจากส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น อาจจะมีอีกหลายส่วนที่เรายังไม่ได้คลำ ฉะนั้น อย่าอวดดีแม้จะมีดีให้อวดก็ตาม

หากเจอนักวิจัยไทยหรือผู้ที่แก่กว่าทั้งในด้านวิชาการหรืออายุก็ควรอ่อนน้อมเข้าไว้ การมีหางเสียง การไหว้ก็ควรต้องทำในโอกาสที่อันควรเพื่อดำรงวิถีแบบไทย เพื่อโอกาสในการขอความรู้และแลกเปลี่ยน ยิ่งในโลกปัจจุบัน บางครั้งอายุไม่ได้บ่งบอกว่าท่านผู้นั้นรู้ดีในเรื่องนั้นๆหรือไม่ เราไม่ควรใช้อายุมาเป็นตัววัด แต่ส่วนใหญ่คนที่มีอายุก็จะมีกำลังความสามารถและประสบการณ์ที่จะสามารถแลกเปลี่ยนให้เราโตขึ้นมาได้ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งเพราะท่านเห็นโลกมาเยอะ แต่กระนั้นการอ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพและให้เกียรติทุกคนทุกวัย แม้ว่าความคิดเห็นเค้าจะไม่ตรงกับที่เราคิดก็เป็นวิถีทางที่ดีในการติดต่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน

การใส่ชุดนักศึกษาในการเรียนระดับอุดมศึกษา



เรื่องการใส่ชุดนักศึกษาในการเรียนระดับอุดมศึกษา 16.10.2013


ส่วนตัวนะสิ่งสำคัญของการเป็นชาติที่พัฒนาแล้วแบบผสมผสานรากเง้าแบบไทยๆเรา ไม่ได้อยู่ที่นักศึกษาจะแต่งกายเรียบร้อยในชุดนักศึกษา(ทำไมไม่ใส่โจงกระเบนหรือชุดไทยเดิมหรือผ้าขาวม้าหรือหม้อฮ่อมหรือชุดท้องถิ่นไปงั้นหรือ) หรืออาจารย์จะแต่งกายเรียบร้อยในชุดข้าราชการ แต่หากอยู่ที่ความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีที่สุด รู้จริงและมีทักษะที่ทำได้จริง ไม่ละเลยหน้าที่ มีความเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในตัวเอง(ไม่เกี่ยวว่าจะเรียนวิทย์หรือศิลป์หรือช่างหรือวิขาชีพอ่ะนะครับ) เน้นทดลองและปฎิบัติ(หลักกาลามสูตร) ไม่เชื่อใครง่ายจนกว่าจะรู้จริงด้วยตนเอง(โดยเฉพาะ social media)มุ่งมั่น ขยัน อดทน ไม่ท้อถอย มีระเบียบต่อตัวเอง ตรงต่อเวลา มีคำสัตย์ ไม่คดโกง เคารพสิทธิส่วนรวม เคารพสิทธิส่วนตัว สงวนจุดต่าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ อ่อนน้อมถ่อมตน(นี่แบบไทยและญี่ปุ่น เช่น ครับ ค่ะ) คิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวม สร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ดีๆและไม่มีในสังคม พัฒนาสิ่งเก่าที่มีให้ดียิ่งขึ้น หากทุกคนทุกระดับทำได้ สังคมก็จะเกิดการเลียนแบบ เหมือนเยอรมันและญี่ปุ่น(ก็เค้าเจริญแล้วนี่ อย่าเป็นองุ่นเปรี้ยมะนาวหวานนะท่าน)




มีนักศึกษาจากมหาลัยดังกลุ่มหนึ่งในตอนกลางปี56นี้ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกการแต่งกายนักศึกษา แล้วก็มีฝ่ายตรงข้ามออกมาให้ความคิดเห็นและเหตุผลสนับสนุนถึงการใส่ และเมื่อเดือนกันยายนนี้ก็มีกลุ่มนักศึกษากลุ่มเดิม ออกมาแย้งต่ออีกว่าถ้าจะให้ใส่ชุด อาจารย์ก็ต้องแต่งกายชุดข้าราชการครูทุกวัน (เอ่อข้อนี้อาจจะไม่ได้สำหรับอาจารย์ทุกคน เพราะปัจจุบันอาจารย์หลายท่านไม่ได้เป็นข้าราชการแล้ว) โดยนักศึกษากลุ่มนี้ก็ให้เหตุผลเชิงประชดประชันเหมือนที่อีกฝ่ายบังคับให้นักศึกษาใส่ชุดว่า หากอาจารย์ใส่ชุดข้าราชการแล้วจะไม่เสียเวลาการแต่งตัว การเลือกซื้อเสื้อผ้า ประหยัด เท่าเทียม เป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียน เป็นต้น เป็นไงล่ะโดยตอกกลับเลย ใจเขาใจเราอ่ะนะ ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันนะ อย่าถือว่าพวกเขาอายุน้อยกว่า คนอายุมากกว่าจะให้ทำอะไรก็ได้นะ อาจารย์อเมริกันบอกเลยว่าจะไม่ถามเรื่องอายุเพราะเป็นการ discriminate นั่นก็คือเป็นการเหยียดหรือแบ่งแยกชนชั้นว่างั้นเลยนะ แต่คนไทยจะถามเพราะจะได้เรียกพี่น้องให้เกียรติตามวัฒนธรรมถูก แต่ก็แฝงไปด้วยความต้องการจะเอาอายุมาเป็นสิ่งที่บอกว่าเหนือกว่า(คิดเองนะ)




อันที่จริงผมเห็นด้วยกับกลุ่มที่ออกมาแสดงความคิดเห็นที่เคารพสิทธิ์และไม่เดือดร้อนใครเช่นนี้ ผมชอบเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ต้องแคร์ใคร แต่ที่ไม่ชอบมากๆคือไปถ่ายรูปกับท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ที่ผมและหลายท่านเคารพ ขอเรื่องกาละเทศะไว้สักเรื่องได้มั้ยไอ้น้องเอ้ยยยย จุดยืนของผม(เน้นของผม)นั้นก็คือเรื่องการแต่งกายของใคร ก็ของมัน ใครอยากแต่งชุดนักศึกษาหรือชุดข้าราชการ ก็ตามใจ เพราะทุกท่านโตแล้ว และมีเหตุผลของตัวเอง ใครฐานะไม่ค่อยดีหากเห็นว่าใส่ชุดนักศึกษาแล้วจะช่วยประหยัดก็จะใส่ก็ไม่ว่ากัน ใครอยากสวย ใครอยากแสดงออกก็ไม่ว่ากัน แต่ก็ควรที่จะให้เกียรติสถานที่และความเป็นไทยบ้างคือ ไม่แต่งตัวล่อแหลม เปิดนู้นนี่นั่น "แต่ขอให้จำไว้ว่าหากคุณได้เสรีภาพนี้ไปแล้วคุณไม่รับผิดชอบสิ่งที่คุณทำอยู่นั่นคือการเรียน คุณก็จะได้รับผลกรรมจากเสรีภาพที่มหาลัยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในการพิจารณาผลการเรียนของคุณไอ้น้องเอ้ยยย" ผมเชื่อนะว่าอิสระทางความคิดสำคัญ และก็ยังเชื่อในเสรีภาพของการแสดงออกไม่ว่าจะด้านใดก็ตาม หากใครไม่ทำ เราก็ไม่ควรไปบังคับเค้าให้ทำ อะไรที่มันล้าสมัย โบราณ(อ้างว่านี่คือวัฒนธรรมไทยเพื่อจะได้ง่ายในการตอบ แต่ไม่อธิบายเหตุผลแฝงที่มีอยู่) แล้วเอาเหตุผลเก่าๆมาอ้าง นี่ยังต้องมีอีกหลายเรื่องที่อีกหน่อยจะมีประเด็นแรงขึ้นมาอย่งแน่นอนจากกลุ่มต่างๆที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง เช่น การเคารพธงชาติเช้าและเย็น ทีวีในต่างประเทศที่พัฒนาแล้วนำเสนอแบบงงๆเลยว่า ไม่นึกว่าประเทศไทยจะยังมีสิ่งนี้อยู่ แล้วเค้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งนี้มีเหตุมาจากอะไร ผมก็ไม่รู้จะตอบว่าไงก็ยังตอบได้แค่ว่า เป็นวิถีแบบไทยๆเองครับ

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อาจารย์มหาลัยกับครูสพฐ 2



2013.10.14
++ครูสพฐ++
เราจำเป็นต้องมีครูสพฐที่ดีใน เรื่องคุณภาพและปริมาณให้เยอะกว่าที่เรามีในตอนนี้ ครูสพฐสำคัญต่อรากฐานการสร้างชาติให้เจริญมากๆ เพราะเวลา12ปีอย่างน้อยที่เด็กจะต้องเรียนรู้จากครูสพฐ  แล้วเราจะต้องพยายามกระจายครูสพฐที่ดีไปให้ทั่วประเทศไทยไม่ว่าที่แห่งนั้นจะเป็นที่ทุรกันดารเพียงใด บนเขา ชายแดนหรืออำเภอที่ห่างไกลจากเมือง 


บ้านของเราอยู่ห่างจากตัวจังหวัดมาก เรายอมรับเลยว่าครูสพฐที่ดีมีความรู้อุดมการณ์และทุ่มเทมีในอัตราส่วนที่น้อยมากๆกว่าในตัวเมืองที่เราอยู่ปัจจุบัน วัดเอาง่ายๆแค่จำนวนเด็กที่เข้ามหาลัยของรัฐที่ได้มาตรฐานได้ปีละไม่เกินสิบเปอร์เซ็นต์จากคนที่สอบทั้งหมดในยุคเราโดยเฉลี่ย(ยุคปี2541บวกลบห้าปี) เราพูดง่ายๆเลยว่าคุณภาพของครูสพฐในบ้านนอกยังหาไม่ได้ เราไม่ใช่ศิษย์ล้างครู แต่หากอะไรไม่ดีเราก็ต้องล้างปัดกวาดไป เราต้องการให้ชาติพัฒนา ด้อยจุดไหนก็ยอมรับจุดนั้น ยุคนั้นเราเห็นครูกินเหล้าหน้าโรงเรียนในและนอกเวลาราชการเป็นครั้งๆไป อันนี้เรื่องจริงด้วยสัตย์ เรายืนยันได้ เพียงแต่ยกมาเป็นเรื่องเล่าให้ฟังกันก็เท่านั้น และคิดว่าที่อื่นก็น่าจะมีกรณีเช่นนี้แต่อาจต่างรูปแบบกันไป พวกครูเหล่านี้เป็นครูที่เข้ามาเพื่อหวังเอาสวัสดิการของรัฐจากการเป็นข้าราชการหรืออาจลืมตัวไปชั่วขณะ แต่ก็หลายครั้งเลยนะที่ลืมตัว ครูเหล่านี้สอนในวิชาที่ตนรับผิดชอบได้ก็จริง แต่มันควรจะได้ยิ่งกว่านั้นหากทุ่มเทจริงๆ อย่างครูพละก็ควรจะมีนักกีฬาโรงเรียนที่ได้รางวัลอย่างสม่ำเสมอ ครูสังคมก็ควรจะมีเด็กสอบสายศิลป์ในมหาลัยมาตรฐานได้บ้าง ครูวิทย์ก็ต้องมีเด็กได้รางวัลและสอบติดมหาลัยดีๆได้อย่างสม่ำเสมอ


แต่หากครูที่ดีมีคุณภาพมีอุดมการณ์ก็มีอยู่และพอหาได้หากที่แห่งนั้นโชคดี กลุ่มครูเหล่านี้แม้มีน้อยแต่หากเป็นความหวังในการพลิกแผ่นดิน กลุ่มครูเหล่านี้แม้จะเหนื่อยใจกับหลายสิ่งแต่ก็ไม่ย่อท้อและไม่เคยเปลี่ยนแปลงในอุดมการณ์ตลอดชีวิตข้าราชการ เรารู้เพราะบ้านเราอยู่หน้าโรงเรียนและใกล้กับบ้านพักครูด้วย เราโตมาก็รู้จักครูเกือบทุกคนเห็นกันเพราะเสมือนเป็นเพื่อนบ้าน 

ครูที่ดีในมุมมองเราคือ ต้องพัฒนาเด็กให้สามารถแข่งขันกับเด็กที่อื่นได้ พาเด็กไปวัดความรู้ พาเด็กไปสอบลองสนาม สร้างสนามให้เด็กมาประลองความรู้และแสดงความสามารถของตัวเองออกมาทั้งในและนอกโรงเรียน พาเด็กไปสร้างภูมิคุ้มกันในการแข่งขันทั้งวิชาการวิทยาศาสตร์ ศิลปะ กีฬา ดนตรี ช่าง ทักษะอาชีพและกิจกรรมทุกอย่างที่มีประโยชน์ ด้วยตัวเด็กเองเด็กไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตัวเองอยู่จุดไหนของประเทศเพราะเด็กอยู่แต่ในกะลาที่ห่างไกลความเจริญ(ขอโทษทีนะ) 

ครูที่มีอุดมการณ์ ประสบการณ์ตรงและต้องทำ ทำ ทำ เท่านั้นให้เห็นผลและจะเป็นที่พึ่งของเด็กได้ ครูต้องรู้จักให้โอกาสเด็กในทุกๆเรื่องอย่างเท่าเทียมกันไม่ใช่ว่าจะมุ่งแต่จะเอาผลงานด้วยการเอาเด็กที่เคยไปแข่งแล้วและเก่งอยู่แล้วแต่ก็ยังพาไปแข่งขันตลอดเพื่อหวังผล ต้องคิดเสมอว่าหากเอาเด็กกลางๆไปแล้วเด็กสามารถแข่งขันกับที่อื่นได้พอใช้ แต่อาจไม่ชนะเลิศนั่นก็คือกำไลแล้วสำหรับเด็กๆในการได้ประสบการณ์ซึ่งเราเคยได้ตรงนั้นมาและคิดว่ามันเป็นความจริง
ครูสพฐไปเรียนรู้จากอาจารย์มหาลัยในตอนป.ตรี แล้วเอามาสอนเด็กตามที่ได้เรียนมาจากอาจารย์มหาลัย ปั้นเด็กเพื่อเป็นกำลังของชาติตามทิศทางที่ได้เรียนมาจากครูมหาลัย เพราะมันเป็นทิศทางโลก เพื่อเด็กไทยจะได้ก้าวทันโลก ครูสพฐที่ดีก็จะพัฒนาความรู้ของตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เด็กแข่งขันได้กับโรงเรียนอื่นๆ ครูสพฐที่ดีจะพยายามพัฒนาตัวเองตลอดเวลา หาทางไปอบรมสิ่งใหม่ที่คิดว่าจะพัฒนาเด็กๆได้ ครูสพฐป้อนเด็กส่วนหนึ่งเข้าสู่ระบบอุดมศึกษาให้อาจารย์มหาลัย ครูสพฐยังต้องเน้นกิจกรรมมากหน่อยให้เด็กโตสมวัยทั้งวิชาการและความเป็นมนุษย์

 ++กระบวนการลูกโซ่ แยกไม่ได้++

มัน เป็นกระบวนการลูกโซ่ระหว่างครูสพฐกับอาจารย์มหาลัย แบ่งแยกไม่ได้ต้องทำงานร่วมกัน อะไรที่ทางรัฐบาลที่ดีทำได้ ก็ขอให้รีบทำไปเถอะ ยกระดับกำลังใจของทุกฝ่ายให้มากที่สุด ถ้ามันไม่เดือดร้อนมากนักกับทุกฝ่าย แล้วต้องอธิบายในปัญหาที่แต่ละฝ่ายไม่เข้าใจเท่าที่จะทำได้

"เด็กบ้านนอก เป็นอาจารย์มหาลัยบ้านนอก ได้ทุนรบ.ญี่ปุ่นเรียนต่อในบ้านนอกของญี่ปุ่นคนหนึ่ง"