วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศลดเงินรายเดือน


เรื่องนี้เป็นเรื่องบ่นเกี่ยวกับปากท้องของการใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่นของผม คือผมได้รับความเมตตาจากทุนรัฐบาลญี่ปุ่นMonbukagakusho Scholarship  ให้ผมได้ศึกษาต่อในระดับสูง เป็นทุนให้เปล่า คือทุนฟรี ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติแก่ผู้ได้รับเป็นอย่างมาก ให้ได้มาศึกษาเรื่องเรดาห์ตรวจอากาศ กับน้ำฝนของเมืองไทย ก่อนมาผมก็พอรู้จากอาจารย์ในภาควิชาของผมว่าทุนนี้จะลดทุกปี แต่เมื่อก่อนตอนสิบกว่าที่ผ่านมาได้เกือบ 200,000 เยนต่อเดือน แล้วก็ลดมาทุกปี อาจเพราะเศรษฐกิจไม่ดี หรือต้องการจะคงจำนวนทุนไว้ ปัจจุบันตอนที่ผมมาครั้งแรกปี 2010 ได้ 155,000 ถือว่าพออยู่ได้ ถ้าหากประหยัด มาคนเดียว ไม่มีภาระอื่น เป็นเด็กที่เรียนต่อเนื่อง หรือคนโสด  แต่อาจต้องเก็บเงินเอาไว้เป็นค่าหนังสือ ที่จะต้องซื้อเพื่อหาความรู้ ค่าย้ายหอ ค่าประกันสุขภาพ แล้วเผื่อฉุกเฉินด้วย แต่ปีที่แล้ว กับปีนี้ 2012 ก็ได้มีการลดอีกครั้งใหญ่ เพราะเกิดทสึนามิ กระเทือนเศรษฐกิจญี่ปุ่น 

บัดนี้ ชีวิตในญี่ปุ่นของผมและภรรยา รวมทั้งบุพการีที่ต้องเลี้ยงดูที่เมืองไทย ก็ต้องรัดเข็มขัดกันซะน่าดู เพราะเหลือเงินทุนประมาณ 145,000  ให้ได้ใช้ ทั้งที่ทุนกพ.ให้อัตรานักศึกษาไทยที่มาเรียนในญี่ปุ่นไว้ที่ 172,500 เยน แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมเลือกแล้ว ผมต้องบอกว่าผมเลือกที่จะเอาทุนนี้ เพราะผมคิดว่าผมพอที่กลับไปเรียนเยอรมันอีกครั้งได้ หรือประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ แต่ผมก็ภูมิใจ ณ ตอนนี้ที่ผมทำให้เมืองไทยประหยัดงบประมาณในการพัฒนาบุคลากรไปได้บ้าง แต่ก็ไม่แน่ว่าหากผมจบไม่ทันสามปี ก็คงต้องหาทางต่อไป แต่ยังไงมาแล้วต้องทำให้ถึงที่สุดครับ ^^

ชีวิตของผมคงพอจะเป็นแนวให้กับคนที่มีครอบครัวแล้ว อยากเรียนต่อ ในต่างประเทศในยุคปัจจุบัน ผมอยู่ที่นี่ต้องประหยัดอย่างมาก อย่าไปเชื่อนะครับว่า คนได้ทุนมง รวย และมีเงินเก็บทุกคน ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อน สำหรับคนโสดไม่มีภาระน่ะใช่ อย่าถามนะครับว่าแต่งงานทำไม ส่งเสียทางบ้านทำไม(ไม่เคยเอาเงินมงส่งนะครับ เดี๋ยวจะโดนมิใช่น้อย) จะโดนผมกระโดดถีบเอา อย่าถามนะครับว่า เกิดมาจนทำไม คนจนมีสิทธิ์ไหมครับ อายุก็ไม่น้อยแล้วและมนุษย์ก็คือมนุษย์ หลีกหนีกฎธรรมชาติไปไม่ได้ ผมก็มนุษย์คนนึง ภรรยาผมอยู่ที่นี่ก็ประหยัด ทำอาหารกินกันเกือบทุกมื้อเพื่อเก็บเงินไปเดินทางดูบ้านเมืองเค้าบ้าง ผมและภรรยาเป็นนักเรียนรู้ ผมไม่ใช่เด็กจบใหม่ ที่ไม่มีภาระที่ต้องรับผิดชอบนอกจากตัวของพวกเขาเอง ผมชื่นชมเด็กเหล่านั้นที่จะเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมืองเรา  คำว่าประหยัด อดทน บากบั่น มุ่งมั่น เหมาะกับตัวผมมากที่สุด และผมก็ภูมิใจในสิ่งที่ผมกำลังเป็นอยู่ ถ้าไม่มีคำว่ายากจน ขัดสน ขาดแคลน ลำบาก ชีวิตก็คงไม่ดิ้นรนขวนขวายหาความรู้ส่วนหนึ่ง ชีวิตผมเหมือนกับพวกนักศึกษาประเทศเวียดนาม อินโด อินเดียที่มาเรียนที่นี่จริงๆ ที่ส่วนใหญ่จะมีครอบครัวมาด้วย ยกเว้นบ้านเรา เพราะบ้านเราเป็นเด็กจบใหม่ที่เรียนดี อาจเพราะบ้านเราพัฒนาไปอีกขั้นแล้ว แต่เฉพาะในเมืองหลวงนะครับ ความห่างมากขึ้นไปเรื่อยๆ เด็กๆอาจไม่เข้าใจ แต่ลองไปบ้านนอกใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสักปีสิครับ จะรู้ว่าคุณคือคนส่วนน้อยของประเทศ หมายถึงคนที่ได้ทุนมานะ

ลืมเล่าไปว่า ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นนี่ไม่ครอบคลุมค่าอื่นๆนะ ให้แต่ค่ารายเดือน ค่าเครืองบินของตัวนักศึกษาเท่านั้น ไม่ครอบคลุมครอบครัวหรือผู้ติดตาม ฉะนั้นต้องประหยัดนะครับ เพราะที่นี่ญี่ปุ่น เราต้องซื้อของกินของใช้ ย้ายหอทีนึงต้องเสียหลายแสนเยนเลย พอครบหนึ่งปีจะต้องออกจากหอมหาลัยเพื่อให้รุ่นน้องที่มาใหม่มาอยู่แทน ฉนั้นจะต้องหาหอพักใหม่ อุปกรณ์ดำรงชีวิตที่เคยใช้ของหอพักมหาลัย ก็ต้องซื้อใหม่หมด เราต้องจ่ายค่ามัดจำ ค่าเงินกินเปล่า(อันนี้เป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นโบราณ เค้าบอกเหมือนว่าเป็นเงินค่าแป๊ะเจี๊ยอะไรประมาณนั้น) ค่าเอเยนซี่ที่หาหอพักให้เราอีก ค่าขนย้าย ค่าที่นอน ผ้าห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ซื้อเองหมด แต่มือสองนะครับ หรือไปตบของรุ่นพี่มาถ้ามีคนรู้จัก ผมก็ไปตบมาเหมือนกัน แต่เป็นของชิ้นเล็กๆ เพราะถ้ารุ่นพี่เค้าเอาไปทิ้ง เค้าต้องเสียค่าทิ้งด้วยนะ เค้าเลยเต็มใจให้รุ่นน้องเต็มที่

นี่แหละ การบ่นของผม แต่จะสู้ต่อครับ เพื่อความรู้ที่ไม่มีในเมืองไทย ^^


กระทู้เรื่องทุนรบ.ญี่ปุ่น หลายมุมมองในการลดทุน 


เรียนภาษาที่สามของนักศึกษามหาลัยเกียวโต


ปัจจุบันโลกไร้พรมแดนได้ทำให้ประเทศที่อยู่คนละทวีปขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น การติดต่อง่ายสะดวกมากขึ้น มีโทรศัพท์ราคาถูกด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผมใช้มันประจำ voip อินเตอร์เนตทำให้เข้าถึงความรู้ในเชิงปริมาณมากขึ้น หากภาษายังไม่แตกฉาน และตรรกะไม่เพียงพอในการกรองข้อมูลข่าวสาร



ภาษาเป็นสิ่งสำคัญในการติดต่อสื่อสาร การต่อยอดความรู้ ภาษาอังกฤษใช้กันอย่างแพร่หลายในโลกปัจจุบัน ตำราแหล่งความรู้ เราสามารถหาอ่านได้โดยใช้ภาษานี้ จะเรียนต่อในระดับสูงก็ต้องแตกฉานในภาษาอังกฤษ ถึงจะขยายความรู้ได้กว้างและลึก ทางมหาลัยเกียวโตที่ผมอยู่นั้น เค้าจะพยายามถ่อมตัวว่าไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย ประเทศญี่ปุ่นด้อยภาษาอังกฤษมากๆ เค้าบอกกับผมตามวัฒนธรรมการถ่อมตัวของเค้า แต่จากประสบการณ์จริง พวกเราคนไทยต้องแยกให้ออกว่า ภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษากับภาษาอังกฤษในการใช้ชีวิตประจำวัน ที่นี่ม.เกียวได ผมยอมรับว่าเก่งในทักษะอ่าน เชียน เป็นเลิศ ดูได้จากจำนวนเปเปอร์ที่ตีพิมพ์ มีมากกว่าจุฬา หรือ เชียงใหม่ มากกว่าเกือบยี่สิบเท่า การอ้างอิงก็มากกว่า ไม่เชื่อลองดู Scopus ได้ ไม่ว่าเปเปอร์เหล่านั้นจะได้มาอย่างไร อาจด้วยการผ่านการกรองโดยบริษัทตรวจงานภาษาอังกฤษก่อนส่งตีพิมพ์ อย่างไรก็แล้วแต่ ที่นี่ทำให้เห็นว่า เค้ามองภาษาอังกฤษคือเครืองมือในการหาความรู้ ขยายองค์ความรู้เผยแพร่ความรู้

ที่สำคัญผมเพิ่งมารู้ว่าภาษาที่สามของญี่ปุ่น เค้าให้ความสำคัญกันมานานมากแล้ว เพราะอาจารย์โปรผมก็เรียนภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่สาม ตอนเค้าเรียนอยู่ป.ตรี ก็เมื่อสามสิบปีที่แล้ว ทั้งที่ภาษาอังกฤษนี่ระดับบรรณาธิการวารสารเลยครับ ผมกล้าพูด เพราะขนาดผมผ่านโทเฟลมาแล้ว ผมเทียบไม่ได้กับอาจารย์ผมแม้แต่นิด ส่วนภาษาฝรั่งเศส อาจารย์ผมก็พูดได้เค้าบอกนะ แต่ถ้าคนญี่ปุ่นบอกว่าพอได้ แสดงว่าต้องได้จริงๆ เพราะวัฒนธรรมการถ่อมตัวนี่แหละ ทำให้เราต้องคูณความจริงเข้าไป ไม่ใช่หารเหมือนบ้านเรา
เด็กในแลปพูดว่า ทางม.เกียวโตจะกำหนดให้เรียนภาษาที่สามอย่างน้อยสองวิชา เด็กส่วนใหญ่จะเลือกเรียน ไม่เยอรมัน ก็ฝรั่งเศส หรือสเปน ทำให้พอมีพื้นฐาน อาจจะยังใช้ไม่ได้จริง แต่พอไปอาศัยอยู่ประเทศเหล่านี้แล้ว เค้าจะประหยัดเวลาในการเรียนรู้ไปได้มาก หรือถ้าแก่ตัวลงมา อาจจะกลับมาสนใจศึกษาเพิ่มเติมได้อีก เพราะผมเห็นคนแก่ที่นี่สนใจเรียนภาษาต่างประเทศด้วยแหละ สุดยอดครับ

บ้านเราต้องตื่นตัว และจริงจังกับภาษาอังกฤษในเชิงคุณภาพให้มากๆก่อน จะได้ไปกวาดต้อนความรู้ระดับสากลได้ เหมือนที่ญี่ปุ่นเคยทำตอนสมัยเอโดะ เมื่อเกือบร้อยปีที่ผ่านมา ทำให้ฐานความรู้ของญี่ปุ่นแน่นมาก ตำราต่างประเทศถูกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด ทุกสาขา คอมพิวเตอร์ ฟิสิกส์ คณิต ชีว เคมี หลายๆอย่าง สามารถหาอ่านได้เป็นภาษาญี่ปุ่นหากลองเข้าไปในร้านหนังสือที่นี่จะรู้ดี ว่าหนังสือหลากหลายมาก และลึกมาก แต่เสียดายที่ผมอ่านคันจิไม่ออก ^^'

กว่าจะมาเป็นสมาชิกห้องแลป

พักเที่ยงคุยกะเด็กป.โท ว่าคณะวิทยาศาสตร์ ม.เกียวโตนี่ น่าจะมีอยู่หลายห้องแลป แล้วมันก็น่าจะมีห้องแลปที่ฮอตฮิตติดอันดับ มีคนแย่งกันไปอยู่ แล้วสงสัยว่าเค้ามีขั้นตอนในการเลือกยังไง หรือเงื่อนไขอะไรในการรับเด็ก

เด็กป.โทตอบว่า ก็มีวิธีที่แตกต่างกันไปแล้วแต่ เซนเซ หรือโปเฟสเซอร์จะกำหนด เช่น จับสลาก เป่ายิ้งชุ่ม อะไรอย่างงี้ เพราะที่แลปเรา เค้าใช้วิธีเป่ายิ้งชุ่ม แล้วใครชนะก็ได้อยู่

เคยถามเซนเซครั้งหนึ่งว่าอาจารย์จะเข้าแลปตอนป.ตรี ทำไง อาจารย์บอก เค้าไม่ได้แลปที่เค้าอยากเรียนคือ อุตุนิยมวิทยา เพราะจับสลากไม่ได้ เลยต้องไปอยู่แลป จีออเดซี คือ สำรวจรังวัดสัณฐานของโลกแทน เค้าก็เสียใจ แต่ก็กฏต้องเป็นกฎ แต่โทเอก เลยเลือกเรียนและสอบเข้าแลปอุตุนิยมวิทยาที่โตเกียวแทน ย้ายจากเกียวโตมาแบบช้ำใจนิดๆ อาจารย์บอกผมว่า สมัยก่อนรับป.เอกปีละคน แล้วแลปทางด้านนี้มีมหาลัยละแค่หนึ่งแลป การแข่งขันสูงมากๆ ภูมิใจครับ อาจารย์

กฏกติในการย้ายห้องแลป climate physics, kyoto university


อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์สุดท้ายของปีการศึกษา 2011 ของประเทศญี่ปุ่น และมหาลัยเกียวโตของผมก็เช่นกัน ปีงบประมาณ ปีการศึกษา ของญี่ปุ่นจะเริ่มที่เมษายน ซึ่งบ้านเราปีการศึกษาสำหรับมหาลัยจะเริ่มเดือนมิถุนายน แต่ปีงบประมาณจะเริ่มเดือนตุลาคม แล้วกฎขอแลป Climate physics ของผมนี้อาจารย์ซาโตมูระที่น่าเคารพและใจดีของผมตั้งกฎว่าจะให้เปลี่ยนห้องได้ ณ เดือนเมษายนของทุกปี   

โดยปีที่แล้วอาจารย์คิดไอเดียใหม่ได้ว่า จะรวมเอานักศึกษาป.เอกมานั่งห้องเดียวกัน จากเมื่อก่อนที่มีห้องแลปอยู่ 3 ห้อง โดยเด็กป.ตรี(ปี4) ป.โท ป.เอก และหลังป.เอกจะนั่งรวมกันหมด แต่พอปีนี้เด็กที่เคยนั่งห้องป.เอกด้วยกันกับผมที่มีป.เอกทั้งหมด5คน หลังป.เอกอีก1 เค้าก็ขอย้ายออกไปอีกห้องหนึ่งคน เพราะคงรำคาญไอ้เด็กป.เอกคนข้างๆผมไม่ได้ มันคุยมากเกิน วันๆไม่ทำไรเลย เพราะงานมันคือรันโมเดลภูมิอากาศ มันก็รอไปอีกสามสี่วันรู้ผล มันก็ไม่ทำไร จ้อทั้งวัน ก็เลยมีคนรำคาญ ส่วนป.เอกอีกคนก็จบแล้วได้ทุนJSPS ไปต่อที่ แคมบริดอังกฤษ 2 ปี ส่วนหลังป.เอกอีกคนก็ย้ายไปอีกห้อง เหลือป.เอกอยู่ห้องนี้ทั้งหมด 3คน

ก่อนย้ายออก เด็กที่ย้ายออก เค้าจะทำความสะอาดไม่ให้เหลือแม้แต่ฝุ่น ประมาณว่าห้ามมีร่องรอยว่าเคยอยู่ที่นี่มาก่อน เก็บกวาดซะยิ่งกว่าแม่บ้านอีก ระเบียบวินัยและความรับผิดชอบต่อสังคมเค้าเข้มข้นจริงๆ พอผมบอกว่า มันสะอาดแล้วนะ เค้าก็บอกยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ต้องกวาดให้เกลี้ยง สุดๆครับคนประเทศนี้ ประเทศที่พัฒนาแล้วนี่คือ คนพัฒนาแล้วต่างหาก ไม่ใช่วัตถุนะครับ คนที่เจริญและพัฒนาแล้วไปอยู่ที่ใดก็ทำให้ที่นั้นเจริญครับ เค้ามีทั้งความขยัน อดทน มุ่งมั่นในการทำวิจัย ไม่ท้อถอยอะไรง่ายๆ กระหายความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เค้าสนใจอยู่ตลอด พื้นฐานความรู้ด้านการคำนวณและวิทยาศาสตร์ดีเลิศเพราะขยันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าตัดสินใจทำอะไรก็ทำจริง ทำให้เก่งไปเลย ให้รู้แจ้ง ตรัสรู้ในงานของตัวเองไปเลย พยายามแก้โจทย์ปัญหาในงานบ่อยๆ เพราะเค้าขยัน เค้าก็เลยได้ลอง ได้เล่น ได้เจออะไรเยอะแยะไปหมด และคนพวกนี้ไม่กลัวที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ 

ประเทศเราต้องขันน็อตเรื่องคนให้ตึงกว่านี้ ความเป็นไท ของเราน่ะดี แต่ความไม่มีระเบียบที่เรียกกันจนติดปากว่า ทำอะไรตามใจคือไทยแท้นี่ ไม่ดี เพราะหากมันทำให้คนอื่นเดือดร้อน โดยคนทำไม่ได้คิดหรือตั้งใจ อันนี้ก็จะทำให้สังคมเลอะเทอะไปกันใหญ่ กลับมามองโลกกันต่อไปดีกว่า คนประเทศอื่นที่เคยใกล้เคียงกับเรา เค้ากำลังแซงหน้าเราไปแล้ว เราหลงภูมิใจกับความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติบ้านเรามากเกินไป กฎระเบียบของประเทศหย่อนยาน ยาเสพติดก็ปล่อยให้มันมีอยู่ ไม่มีการเชือดไก่ให้ลิงดู (ผมหมายถึงเชือดจริงๆนะครับ) ปล่อยให้มันมาทำลายมันสมองของเยาวชนเราแบบเรื้อรัง อึดอัดครับ .. ผมก็ได้แต่ทำหน้าที่วิจัยของผมและกลับไปทำงานรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่คนคนนึงที่เกิดมาบนโลกใบเล็กนี้จะทำได้ ก็พอดี โชคดีประเทศไทย

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

ญี่ปุ่นไม่เคยให้อะไรใครฟรีๆ มี give ก็ต้องมี take

ผมได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นมาเรียนต่อ ทั้งที่มีโอกาสไปอังกฤษจากการได้รับใบตอบรับที่ Leeds ด้วยการแนะนำจากอาจารย์รุ่นพี่ซึ่งมหาลัยต้องจ่ายเงินค่าเรียนให้ผมหากผมได้ไปจริงๆ ซึ่งเป็นประเทศที่ผมอยากไปเพราะมันไม่น่าจะยากในการปรับตัวในการหาความรู้และใช้ชีวิต แต่ขณะนั้นทุนรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศมาว่าผมได้ ผมได้ข่าวจากอาจารย์ที่แนะนำผมไปกับโปรเฟสเซอร์คนปัจจุบันของผมที่ญี่ปุ่นว่าผมได้แล้วนะ ผมไม่รู้ว่าผมจะดีใจดีหรือเปล่า

ผมได้ทุนฟรี รัฐบาลไทยไม่จำเป็นต้องออกสักบาทในการได้ด็อกเตอร์ทางด้านภูมิอากาศคนนึงจากญี่ปุ่น ผู้ไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนและไม่เคยคิดว่าจะมา ผมจำเป็นต้องรับทุนนี้ แม้จะไม่เกี่ยวกับแบล็กกราวด์ของผมมากนัก แต่เมื่อเป็นทุนฟรี เพื่อชาติ เพื่อบ้านเมืองจนๆของเรา เพื่อไม่ให้อาจารย์ที่แนะนำผมเสียเครดิต เพื่อปัจจัยที่ไม่เกี่ยวกับตัวผมมากนัก แล้วผมก็ตัดสินใจมา ผมมาทำงาน ทำการประมวลผลภาพเรดาห์ตรวจอากาศให้กับโปรเฟสเซอร์ ผมมาทำงานจริงๆ ผมเข้าไปทำงานในแลปเก้าโมงเช้าออกสามทุ่มเป็นปรกติ กลับมาที่บ้านผมก็ยังต้องทำหากมีงานที่ยังติดค้าง เสาร์อาทิตย์ก็ต้องทำ ถ้าผมทำสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของเค้า ผมก็จะได้ปริญญากลับไปเป็นของขวัญ ที่ผมจำเป็นต้องเอามันกลับไป

ผมพยายามเรียนรู้ในสิ่งที่ผมไม่เคยเรียนมา ผมเรียนเขียนโปรแกรมด้วยภาษาที่ผมไม่เคยรู้หลายภาษา ผมใช้ลีนุกซ์ ผมเขียนโปรแกรมสถิติเอง ผมเขียนสคริปท์เพื่อช่วยการประมวลผม ผมพยายามเลียนแบบในสิ่งที่นักวิจัยด้านนี้ควรจะเป็น เค้าทำอะไรได้ ผมก็ต้องทำได้ ผมลองผิดลองถูกมาทุกอย่างเพื่อหาความจริงบางอย่างที่ไม่มีใครเคยรู้กับข้อมูลเรดาห์ตรวจอากาศเมืองไทย(ให้ตายเถอะ เชื่อผม) ผมมีความขยัน ความบ้าดีเดือด มุ่งมั่นและจดจ่อ ผมอยากรู้อะไรผมต้องทำให้ได้ ผมไม่เก่ง ไม่ฉลาด แต่ไม่ได้โง่ ผมคิดว่าความขยันและความบ้าดีเดือดของผมจะช่วยให้ผมได้มันกลับไป เลือดนักมวยที่ไม่เคยได้ขึ้นชกและเลือดนักสู้ในตัวผมที่ได้มาจากพ่อ มันจะได้ช่วยผมได้ ผมเชื่อเช่นนั้น


ชุดนักศึกษากับอิสระทางด้านความคิด ??!@##!!!

ทำไมเราต้องใส่ชุดนักศึกษา ขณะที่เรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี? ผมเคยถามตัวเองตอนเรียนอยู่ป.ตรีปีหนึ่ง หลังผ่านการรับน้องหรือผ่านปีหนึ่งไป ทุกคนสามารถแต่งตัวได้ค่อนข้างฟรี บางคนใส่กางเกงยีนส์ บางคนเอาเสื้อออกข้างนอก รองเท้านิสิตนักศึกษา ก็เปลี่ยนไปจากถูกระเบียบ ไปเป็นแฟชั่นแล้วแต่ถนัด ผ้าใบ หรือ รองเท้าแตะก็มีให้เห็น

ผมเคยถามอาจารย์ว่า ในวันข้างหน้ามหาลัยบ้านเราจะยกเลิกการใส่ชุดนักศึกษาไหมครับ ท่านอาจารย์คนนั้นตอบผมว่า ให้มันใส่กันอย่างนี้แหละ เพราะดูแล้วเป็นระเบียบดี ดูแล้วรู้เลยว่าเป็นนิสิตนักศึกษาระดับมหาลัย  และเป็นชุดพระราชทาน ผมก็ได้แต่คิดในใจว่า ทุกวันนี้ มันเป็นระเบียบไหมล่ะ ทุกคนพยายามจะมีพื้นที่ทางเสรีภาพบนพื้นฐานประชาธิปไตยที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน (แต่อาจจะสร้างความรำคาญใจสำหรับอาจารย์ที่รับไม่ค่อยได้เป็นอย่างมาก)  กฎระเบียบที่อาจจะเหมาะกับเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน

เด็กผู้ชายไว้ผมยาว มีหนวดเครารุงรัง เสื้อออกนอกกางเกง สวมกางเกงยีนส์ มีแต่เพียงเสื้อสีขาวที่ดูแล้วบ่งบอกว่า น่าจะยังเรียนอยู่ในมหาลัยใดสักแห่ง  ส่วนเด็กผู้หญิงใส่กระโปรงสั้นมากๆ เสื้อรัดรูปจนกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับผิวกาย ใส่เข็มขัดหลวมๆ ห้อยลงมาตรงท้องน้อย นี่หรือชุดนักศึกษาที่อยากจะให้เป็นกัน นี่หรือคือความเป็นระเบียบ

ถามว่าชุดนักศึกษา มันทำให้เด็กๆเป็นผู้มีระเบียบวินัยหรือ มันก็อาจจะใช่สำหรับเด็กปีหนึ่ง เพราะต้องซักชุด รีดชุดเอง บางคนมีสองชุด (ผมนี่แหละเป็นอย่างนั้นสมัยเรียน) แล้วจะทำไงครับ ต้องขยันซักผ้า นี่คือระเบียบวินัย วันใดที่ฝนตกผมแย่แน่เลย บางทีแอบเอากางเกงตัวเก่ามาใส่ แต่ถ้าปีสูงๆไป ไม่เห็นว่าจะต้องไปทำมันเลย แต่ระเบียบวินัยผมก็ว่าผมก็ยังมีนะ บางทีอาจมากไปพอที่จะเรียนจบสามปีด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าต้องใส่ ณ เวลาที่เป็นพิธีการ ก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เช่น วันไหว้ครู

บ้านอื่นเมืองอื่น ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เค้าไม่มาใส่ใจเรื่องทางกายภาพแล้ว เค้าสนใจเรื่องประสิทธิภาพการเรียน การศึกษาของเด็กมากว่า อิสระภาพทางความคิดของเด็กที่นอกเหนือจากกายภาพนั้นสำคัญมาก อย่าบอกผมนะว่าใส่ชุดนักศึกษา เพื่อฝึกระเบียบ งั้นสมัครไปเป็นทหารดูจะตรงวัตถุประสงค์มากกว่า

เรื่องเสื้อผ้าไม่สำคัญ แต่สำคัญที่อิสระภาพทางการเรียนรู้ อิสระภาพทางความคิด ความรับผิดชอบ ใส่ใจต่อหน้าที่ที่กำลังเป็นอยู่ ผมว่าสำคัญ ผมมีความเชื่อว่าเด็กที่เรียนระดับมหาลัยนั้นต้องการอิสระที่ต้องมีกรอบบางๆไว้บ้าง ผมไม่เชื่อว่าชุดนักศึกษานั้นทำให้สังคมไทยมีระเบียบ เพราะปัจจุบันคือหลักฐานว่ามันไม่ใช่

ขออภัยหากบทความนี้กวนใจใครๆ หลายคน ^^

รับปริญญาเด็กในแลป climate physics

วันนี้รับปริญญาเด็กเกียวได kyoto daikaku หรือ kyoto university รอบปรกติ มีเด็กในแลปผมรับด้วยในปีนี้ เด็กผู้หญิงสามารถแต่งชุดกิโมโน หรือ ใส่สูทก็ได้ ผู้ชายก็เช่นกัน การรับปริญญาก็ง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไรให้ยุ่งยากเหมือนบ้านเรา ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ นักศึกษาที่จะจบในปีการศึกษานั้นๆ ก็จะได้รับปริญญาไปเลยก่อนจบปีการศึกษาแต่ของบ้านเราจบกับรับปริญญาคนละปีการศึกษา

ที่นี่ไม่มีการมาเลี้ยงน้องให้หนักกระเป๋าและสร้างความลำบากให้กับคนที่จะจบ แต่ทางแลป นำโดยโปรเฟสเซอร์จะพากันไปเลี้ยงและแสดงความยินดี โดยทุกคนช่วยกันออกลดหลั่นกันไปตามระดับ อาจารย์จ่ายเยอะหน่อย ป.เอก ป.โท และป.ตรี ก็ต้องช่วยกันออก

บ้านเรานี่ ต้องมาซ้อมรับปริญญาอย่างน้อยสองวัน หลายคนต้องมาเช่าหอพักเพราะไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ ไหนจะต้องกินเลี้ยงกับเพื่อน เลี้ยงน้อง หลายเผ่าพันธุ์ มันก็ดีนะ ช่วยสานสัมพันธ์พี่น้อง แต่เงินละครับ เงินนี่เอามาจากไหนกันหรือ ขอบุพการี หรือว่าหามาจ่ายเอง ค่าชุดครุย ค่าถ่ายรูป ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าถ่ายรูป ค่านู้นนี่ เยอะไปหมด ใครได้ ใครเสียหรือครับ รู้นะครับว่ามันคือความภูมิใจ บางคนกล่าวว่าเป็นโอกาสเดียวที่จะได้รับจากพระองค์ท่าน นี่คือแรงจูงใจส่วนหนึ่งให้ช่วยสำเร็จการศึกษา ใช่ครับ แต่นั่นมันเมื่อยี่สิบ สามสิบปีมาแล้ว ตอนนี้ทำไม แรงจูงใจจะมาจากด้านอื่นไม่ได้ละ เช่น อยากเรียนจบเพราะจะได้ศึกษาต่อในระดับสูง อยากเรียนจบเพราะอยากออกสู่โลกกว้าง อยากเรียนจบเพราะคนอื่นก็จบ

ที่ผมเขียนนี่ไม่ใช่ กระแดะว่ามาเรียนญี่ปุ่น ถึงได้เขียนนะครับ แต่ผมก็เคยเห็นที่เยอรมันนะครับ ตอนผมรับปริญญาโทที่เยอรมัน ก็จบแล้วก็รับเลย คนมอบก็คืออธิการ ง่ายๆ แต่ซึ้งและภูมิใจ กับเพื่อนๆน้องๆ อย่างเรียบง่าย แต่ยิ่งใหญ่ เพราะกว่าจะผ่านมาถึงวันที่ได้รับ มันเป็นความทรงจำยิ่งกว่าวันที่รับปริญญา ผมไม่ต้องการชื่นชมกับอะไรแค่วันที่เราทำสำเร็จ แต่ผมอยากจะชื่นชมกับสิ่งที่ผมเคยได้ประสบ เคยผ่านมันมา กว่าจะได้ความรู้เหล่านั้นมา ผ่านการฝึกฝน ผ่านการคิด การลองผิดลองถูก นั่นต่างหากคือสิ่งที่น่าชื่นชมและจดจำ

[ INT ] เพลง : คนดี By ROOM 39


มอบให้ภรรยาผู้น่ารัก ^^