วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มองได้หลายมุมกับการใช้ทรัพยากรมนุษย์แบบญี่ปุ่น

มองได้หลายมุมกับการใช้ทรัพยากรมนุษย์แบบญี่ปุ่น 


ศาสตราจารย์ Hayashi ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Heavy rainfall ของโลกอายุเกือบๆ 60


ทุกคนรู้ว่าญี่ปุ่นเป็นผู้นำแห่งเทคโนโลยี เป็นผู้นำแห่งนวัตกรรม ผู้นำความคิด สังคม วัฒนธรรมหลายเรื่อง อะไรที่จะประหยัดแรงงานคน อะไรที่จะทุ่นแรง ญี่ปุ่นจะทำ ไม่หายใจทิ้งไปในแต่ละวินาที เขามีความเชื่อว่าคนคนหนึ่งทำอะไรได้มากมาย ในเวลาอันจำกัด การช่วยเหลือพึ่งตนเองให้มากที่สุดคือสิ่งที่ญี่ปุ่นเป็นอยู่ ธรรมชาติอันโหดร้าย รุนแรง พายุ แผ่นดินไหว ทสึนามิ หนาว เย็น ร้อน มีหมด การเอาชนะธรรมชาติคือสิ่งที่ท้าทายของพวกเค้า และทำให้เป็นชาติที่ปรับตัวไวและดีที่สุดต่อการอยู่รอด

ผมได้มีโอกาสไปออกภาคสนามในรายวิชาของ GCOE กับ prof.Yoden และprof.Hayashi  เพื่อไปตรวจอากาศด้านอุตุนิยมวิทยา ไปฝึกใช้เครื่องมือวัดตัวแปรด้านอากาศ สิ่งที่ผมตกใจและไม่เคยเห็นเลยในเมืองไทยนั่นคือ เชื่อไหมว่าอาจารย์เป็นผู้ขับรถพานศ.ป.โท มีผมป.เอกคนเดียวเดินทางนั่งรถมินิแวนไป Shirahama, Wakayama prefecture ท่านเป็นถึงศาสตราจารย์ระดับโลก ต้องขับรถ 3 ชั่วโมงด้วยวัยเกือบ 60 ปีแต่ยังดูแข็งแรงเหมือนคนวัย 40 ถ้าเป็นบ้านเราจะมีคนขับรถประจำคณะพาไป คอยบริการเหมือนเป็นทาสรับใช้ แต่ท่านต้องทำเอง ตั้งแต่ไปเช่ารถเอง ถือของอุปกรณ์ตรวจอากาศ Ultrasonic ตัวละ 3 ล้านเยน อุปกรณ์เชื่อมต่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างทำเองหมด พอไปถึงที่ก็เตรียมอาหารให้ด้วย ไม่มีเจ้าหน้าที่มารับเทคแคร์เหมือนเมืองไทย ทุกอย่างโปรจัดการเองหมด จบในคนๆเดียว แม้แต่การจัดเก้าอี้ให้เข้าสู่สภาพปกติหลังการอบรม แกก็เป็นคนจัดเอง prof.Yoden คนนี้ท่านเป็นหัวหน้าภาค Atmospheric science ที่ Kyoto university สามารถชี้เป็นชี้ตายคนเรียนป.โทและป.เอกให้จบ หรือไม่จบได้เลย ท่านยังต้องมาจัดเก้าอี้ ต่อโปรเจกเตอร์เอง แล้วอาจารย์บ้านเราล่ะ บางท่านคอยจะแต่บนหอคอย รอให้เจ้าหน้าที่ประเคน มันจะเกินไปแล้วนะผมว่า  ถ้าลองเปลี่ยนมาทำทุกอย่างเอง พึ่งตัวเองให้มากที่สุด แล้วเมื่อเด็กน.ศ.เห็น เค้าก็จะทำตาม ไม่ต้องบอกให้น.ศ.มาเคารพหรอก ถ้าผู้ใหญ่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี น.ศ.ก็จะทำตามเอาเยี่ยงเอาอย่าง เดี๋ยวสังคมก็ดีตามเอง อาจารย์ที่นี่จะเป็นกันเองกับลูกศิษย์มากๆ ตกเย็นมาโปรเฟสเซอร์ทั้งหลายไปร่วมออนเซ็นด้วยกันกับเด็กป.โทและเอก มีการสังสรรค์คุยกันทุกคืนด้วยสาเก แต่ไม่ถึงกับเมามายเพียงแต่เป็นวัฒนธรรมของการทำความรู้จักกันให้มากขึ้น เพราะนักศึกษาทุกคนโตๆกันแล้ว มีความรับผิดชอบสูงเป็นที่ยอมรับไม่งั้นไม่สามารถเข้า  Kyoto university ได้แน่ เพราะที่นี่คืออันดับที่ 24 ของโลก อันดับที่ 2 ของญี่ปุ่น รองจาก Tokyo University ซึ่งอันนั้นเค้าติดอันดับโลกใกล้เคียงกัน แต่ในญี่ปุ่นนั้นมีสองมหาลัยนี่แหละที่เป็นที่หมายตาของนักเรียนทั่วประเทศว่าต้องสอบเข้าให้ได้ ถ้าได้ก็เท่ห์ระเบิด เป็นเกียรติต่อวงตระกูล มีโอกาศได้งานดีๆ
สถานีตรวจอากาศที่ shionomisaki เตรียมปล่อยบอลลูน
ตอนเช้าของวันที่สามของการออกสนาม พวกผมต้องไปดูสถานีตรวจอากาศ อัตโนมัติที่มีการปล่อยบอลลูนเองตามเวลา 8.30 และ 16.30 อาจารย์บอกว่า แรงงานคนมันแพง พวกเราต้องหาทางคิดในการประหยัดแรงงานให้มากที่สุด แต่ก็ยังจ้างพนักงานไว้ 1 คนเพื่อทำหน้าที่บำรุงรักษาเครื่อง เปิดปิดประตู ว่าง่ายๆ ทำทุกอย่างในสถานีอัตโนมัตินี้ ดูเอาสิว่าชีวิตอัตโนมัติของญี่ปุ่นมันแทรกซึมไปทุกๆงาน ทุกแห่ง ถ้าอะไรที่จะประหยัดได้ ทุ่นเวลาได้ ก็คิดมันขึ้นสิ จะไปเสียเวลาใช้แรงงานคนไปทำไม แค่เสียเวลาคิด วิจัย สักหน่อย แต่ใช้ไปได้นานประยัดทรัพยากรหลายอย่าง

แถมอีกนิด จะสังเกตได้ว่าเวลาไปกินอาหารตามร้านอาหารทั่วไปของญี่ปุ่น จะมีพนักงานน้อยมาก บางร้านขายราเมงตู้หยอดเหรียญ(ร้านหน้ามหาลัยเกียวโตของผมเอง) มีคนทำงานแค่คนเดียว เป็นเด็กหนุ่มญี่ปุ่น อายุไม่น่าจะเกิน 25 ผมเห็นเค้าทำหน้าที่ตั้งแต่ รับแขก เสริฟน้ำ ลวกเส้นราเมง ปรุงราเมง ล้างจาน เก็บกวาดร้าน เช็ดโต๊ะ เรียกว่าทำหมดเลย ค่าแรงที่นี่มันแพง คนคนเดียวต้องทำหลายอย่าง ทำให้เป็นทุกงาน นี่คือระบบญี่ปุ่น ในบริษัทก็เหมือนกัน ถ้าทำงานกับญี่ปุ่นเค้าจะสอนทุกงาน เวียนกันไปจนชำนาญทุกเรื่อง นี่แหละคือญี่ปุ่น ผมว่าดีนะไม่เปลืองคน ไม่เหมือนหลายหน่วยงานที่เมืองไทย คนหนึ่งรู้แค่งานเดียว ไม่ชำนาญด้วย เวลาจะทำงานต้องยกกันไปเป็นขโยง ก็ไม่มั่นใจนี่ เพราะเราไม่มีระบบที่ดี แม้แต่มหาลัยผมก็ตาม ใช้เจ้าหน้าที่หรือแม้แต่อาจารย์เปลืองกันมากเกิน ผมเห็นว่าอย่างนี้นะ อย่าบอกว่าวัฒนธรรมต่างกันนะ ใช่ แต่สิ่งที่ดีเราก็ควรทำตามมิใช่หรือครับ

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำไมถึงอยากไปเรียนต่างประเทศ ? คำถามที่ต้องตอบ

ทำไมถึงอยากไปเรียนต่างประเทศ ? คำถามที่ต้องตอบ



Schloss Neuschwanstein หรือปราสาทดิสนีย์แลนด์ ทางใต้ของแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมันถ่ายเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปี 2008


มันเป็นคำถามที่ผมถูกถามมาหลายครั้ง หลายคน โปรเฟสเซอร์ผมก็เคยถาม ผมตอบท่านไปว่า ผมอยากเรียนรู้สิ่งที่ไม่มีในเมืองไทย เพื่อนป.เอกก็ถามผม ผมตอบไปว่า เมืองไทยไม่มีโปรเฟสเซอร์เก่งๆทางด้านภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ เรื่องจริงครับ เพราะภูมิศาสตร์ที่เมืองไทย ใครก็คิดว่ามันต้องท่องๆ จำๆ เหมือนตอนเราเรียนมัธยมแน่ๆเลยที่อยู่สังคมศึกษา มันต้องไม่เป็นวิทยาศาสตร์แน่ๆ แล้วเด็กที่เลือกเรียนภูมิศาสตร์ที่เมืองไทยก็เลือกเป็นอันดับสุดท้ายห้อยไว้แม้แต่ผมเอง แต่พอมาถึงวันนี้ ผมแน่ใจครับว่าภูมิศาสาตร์คือ วิทยาศาสตร์แน่นอน ไม่เชื่อถาม Alexander von humboldt  หรือ Jun Matsumoto แล้ววุฒิการศึกษาที่ผมได้ตอนป.ตรี ก็ วทบ. ซึ่งมันเพิ่มโอกาศให้ผมได้ไปเรียนโทที่เยอรมัน และเอกที่ญี่ปุ่น นี่คือสิ่งยืนยัน หากใครอยากรู้ว่าภูมิศาสตร์สำคัญขนาดไหนลองหาภาควิชาภูมิศาสตร์ในมหาลัยดังๆของอเมริกา หรือ อังกฤษและยุโรป ที่มีทั้ง วิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ ดูสิว่าต่างประเทศให้ความสำคัญขนาดไหน บ้านเรายังต้องขับเคลื่อนให้เกิดการยอมรับอีกเยอะ ด้วยผลงานวิจัยเชิงประจักษ์กับการเรียนการสอนที่ปรับปรุงคุณภาพให้มากยิ่งขึ้น โอ้ๆๆๆ ไปไกลแล้วอ่ะ

ส่วนคำตอบจริงๆว่าทำไมผมถึงอยากมาเรียนต่างประเทศ ฝันสูงเกินไปสำหรับเด็กบ้านนอกไปไหม? ผมว่าคงเกิดจากตอนประถม ผมเห็นเพื่อนที่ชื่อ ต่าย (ชัยวัฒน์ แก้วมณี) เขียนโปสการ์ดและจดหมายไปขอเอกสารเกี่ยวกับประเทศแถบยุโรปจากสถานทูตของประเทศนั้นๆ แล้วเพื่อนผมก็เอามาให้อ่าน ผมก็ลองเขียนไปขอมั่ง ก็ได้กลับมาจริงๆ มีหลายประเทศเลยที่ผมได้ ดีใจมากความรู้สึกตอนนั้น ไม่นึกเลยว่าเจ้าหน้าที่สถานทูตเหล่านั้นจะใจดีมากๆ กับเด็กบ้านนอกห่างไกลความเจริญอย่างพวกเรา มีทั้งเยอรมัน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศสและอีกหลายประเทศในแถบยุโรปที่่ส่งมาให้

เห็นไหมครับสิ่งดีที่ท่านทั้งหลายทำมาวันนี้มันเห็นผล อย่างน้อยมันทำให้เด็กบ้านนอกได้เห็นความศิวิไลผ่านรูปถ่ายสวยงาม เอกสารมีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ผมชอบดูรูปบ้านเมืองเหล่านั้น มันคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมไปเรียนต่างประเทศได้อย่างหนึ่ง ผมก็เลยทำการขอทุนฟรีจากประเทศผู้แสนใจดีซะเลย ขอบคุณเจ้าหน้าที่สถานทูตผู้แสนใจดีเหล่านั้นนะครับ

งานสารพัดอย่างของน.ศ.ปริญญาเอกบ้านนอกอย่างผม

งานสารพัดอย่างของน.ศ.ปริญญาเอกบ้านนอกอย่างผม


ภาพถ่ายหน้า Tokei dai หอนฬิกา กับ ต้นไม้สัญลักษณ์มหาลัยเกียวโต วันรับปริญญาของรุ่นพี่ดร.คนไทย 26 กันยายน 2554 อีกสองปีข้างหน้าหวังว่าผมจะได้รับปริญญาอย่างเหมือนกับดร.ใหม่ๆ เหล่านี้


แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันเสาร์ที่ควรจะหยุดอยู่กับบ้าน หรือพาภรรยาไปเที่ยวผ่อนคลายบ้าง หลังจากอาทิตย์ก่อนโน้นย้ายหอพักใหม่ และไปออกสนามตรวจอากาศที่ Shirahama ฝ่าดงพายุไต้ฝุ่นกลับมาได้ แต่ผมก็จำใจต้องมาปั่นงานเพื่อไป Conference ซึ่งไม่ได้ Require สำหรับการจบป.เอกเลย แต่ต้องสมัครไปเพราะ ต้องรักษาหน้าตาของโปรเฟสเซอร์ที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของงานนี้ ถือว่าเป็นการฝึกปรือฝีมือการเขียนเปเปอร์ไปในตัว เรื่องของเรื่องถ้ามีปริมาณงานเพียงพอ งานเขียนเปเปอร์จะไม่หนักหนาสาหัสเลย แต่ถ้ามีน้อยก็ต้องมาปั่นเพิ่มแปะเข้าไป

ปีนี้เป็นปีที่ 2 ของผมด้วย ซึ่งวางแผนว่าอย่างน้อยต้อง 1-2เปเปอร์ให้ได้ เพื่อปี 3 จะได้สบายใจมากขึ้น บางแลปในเกียวไดเค้าต้องให้ได้ 5-6 เปเปอร์ ซึ่งผมว่ามันบ้าไปแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่ ม.เกียวโตติดอันดับที่ 24 ของโลก เพราะงานวิจัยนี้เองที่โปรเฟสเซอร์กดดันให้เด็กป.เอกทำ ไม่งั้นไม่จบ พวกเด็กป.เอกที่เรียนก็บ้าพลัง ทำได้ซะงั้น ไหนจะต้องโดนกดดันให้พรีเซนต์ความคืบหน้างานอีก พรีเซนต์แต่ละครั้งก็ปาไปชั่วโมงครึ่ง ถามยังกะเราเป็นโปรเฟสเซอร์ คือ คุณต้องรู้ให้รอบ ให้หมด ให้ลึก ในงานที่คุณทำอยู่ ก็มีแต่ยอมรับไป เพราะเราเป็นนักศึกษา ถ้าไม่โดนทุบ โดนโขก โดนสับตอนนี้ แล้วจะแกร่งได้อย่างไร ใช่ไหม ^^

ความคาดหวังในภาษาญี่ปุ่นอันยากยิ่ง

ความคาดหวังในภาษาญี่ปุ่นอันยากยิ่ง

ผมมีโอกาสดีที่ได้ไปเรียนต่อสองประเทศชั้นนำของโลก คือ เยอรมันในปี 2007 และ ญี่ปุ่นในปี 2010 ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่คิดว่าจะได้ไป ผมไม่มีความรู้ในทั้งสองภาษาที่เพียงพอเลยก่อนที่จะไป เพียงแต่เตรียมล่วงหน้าภาษาเยอรมันตอนก่อนจะไปได้แค่ประมาณ3เดือน แต่เรียนเฉพาะเสาร์อาทิตย์ที่รามคำแหง คอร์สละ 2000 กว่าบาท ซึ่งถูกและเหมาะกับฐานะผมมาก มันช่วยผมได้เยอะพอควร แต่ก็กระนั้นการเรียนแบบลูกทุ่งของผม มันก็ช่วยให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ในเยอรมัน แต่หากจะเอาเป็นการเป็นงานจริงๆ ก็อย่าหวังมาพึ่งผม เพราะบอกตรงๆว่าวันๆไม่เคยได้ใช้ภาษาเยอรมันเลย อีกทั้งความรู้ก็ไม่เพียงพอในการสื่อสาร ผมใช้แต่ภาษาอังกฤษกับเพื่อนเท่านั้น มันก็เป็นจุดที่ผมรู้สึกผิดหวังในตัวเหมือนกัน แต่สถานะการณ์ตอนนั้นจำเป็นที่ผมจะต้องเอาการเรียนในชั้นก่อน ไม่งั้นไม่จบแล้วจะแย่เอา เพราะค่าใช้จ่ายในแต่ละเดีอนก็หลายหมื่นบาทอยู่


มาถึงภาษาญี่ปุ่นนี่ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ มีตัวอักษรของตัวเอง ไม่เหมือนภาษาเยอรมันที่มีบางตัวเท่านั้น ญี่ปุ่นมีอักษร 3 ประเภท รวมโรมันจิก็เป็น 4 ก่อนมาผมก็ได้เตรียมตัวแค่จำตัวอักษรก็หมดเวลาแล้ว ผมได้มีโอกาสเรียนแค่อาทิตย์ละ 2 วันเหมือนตอนไปเยอรมันเหมือนเดิม แต่เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าแค่ 1 เดือน ซึ่งกระชั้นมาก พอมาถึงญี่ปุ่นตอนแรกๆก็กังวลว่าจะอยู่ได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ครบปีแล้วก็อยู่รอดมาได้แม้ไม่ได้ภาษาญี่ปุ่น ไม่ใช่ผมไม่เรียนนะ ผมลงเรียนในมหาลัยอาทิตย์ละวัน วันละ 3 ชั่วโมง แต่มันก็ไม่เพียงพอในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ตอนนี้พยายามจำศัพท์และประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้มากที่สุดก็พอ ความจำเป็นในการเรียนภาษาญี่ปุ่นผมว่ามันบีบบังคับมากกว่าตอนไปเยอรมัน ที่เยอรมัน คนรุ่นใหม่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วมาก แต่ที่ญี่ปุ่นคนรุ่นใหม่ก็พยายามในการพูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่ก็ไม่เก่งเท่าเยอรมัน

พอออกไปนอกมหาลัย เท่านั้นละ จบเห่เลย จำเป็นต้องมีความรู้อยู่บ้าง เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2011 รศ.ดร.ศรินทิพย์ มาอบรมที่เมืองเกียวโต กะว่าจะให้ผมเป็นล่ามให้ ก็ผิดหวังไปตามกัน ผมเลยส่งตัวแทนภรรยาผมไปเป็นล่ามให้ ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง พอต่อรองสินค้าและเจรจากับคนขายได้ เพราะเค้าเรียนทุกวัน มีการฝึกทุกษะตั้งแต่ ฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ค่าเรียนก็แพงมหาศาล หากเป็นไปได้ผมแนะนำว่าให้เตรียมภาษามาให้พร้อม ก่อนที่จะไปประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ แต่อย่างว่า คนที่มีงานประจำอยู่ก็ต้องทำใจ ภาษาอังกฤษได้ก็ถือว่าบุญแล้วละ ผมหวังว่าถ้าจบปี 3 แล้วผมคงจะเจรจา ต่อรองสินค้า คุยเรื่องชีวิตประจำวัน ฟังข่าว ฟังเพลงรู้เรื่องกะเขาบ้าง มันน่าจะสนุกไม่น้อย หรือไม่ก็ ฟังคนแลปนินทากันออก ก็น่าจะบรรลุเป้าหมายผมแล้วละ ตอนนี้ผมไปลงเรียนเกี่ยวกับการสนทนาอย่างง่ายกับ KIZUNA เป็นหน่วยงานช่วยเหลือนักศึกษาต่างชาติด้านภาษาญี่ปุ่นในม.เกียวโต เป็นคอร์สฟรี ผมจะพยายามมากขึ้นและสนุกกับมัน

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

ไอเดียโปรเฟสเซอร์ไม่มีวันหมด

มาเรียนที่เกียวได มหาลัยเกียวโต ยูอันดับที่ 24 ของโลก

ผมบอกแล้วนะว่าผมได้ทุนมาเรียนป.เอกแบบฟลุ๊กๆ ใจจริงผมอยากไปประเทศที่พูดภาษาอังกฤษและอยากเรียนทางภูมิศาสตร์ ผมสมัครเข้าเรียนที่ ANU Australia และที่ Leeds UK ซึ่งได้รับใบตอบรับเรียบร้อยแล้ว แต่ยังหาทุนฟรีจากข้างนอกไม่ได้ แต่ผมก็โชคดีที่ได้รับการฝากฝังจากอาจารย์ที่ผมเคารพรัก ให้มาเรียนกับโปรเฟสเซอร์ผม แกหาทุนMEXT จากรัฐบาลญี่ปุ่นมาให้ผม ซึ่งน้อยกว่าที่กพ.ให้มากมาย เข้าข่ายทุนเรียนดีแต่ยากจน ยังไงก็ได้ฟรี เอาไว้ก่อน ค่อยไปหาทางอ่านและเรียนภูมิศาสตร์เพิ่มเติมภายหลังได้ ผมเชื่อว่า อะไรที่เราชอบเราก็จะขวนขวายพัฒนาเองได้

อาจารย์ผมคนนี้แกเป็นนักฟิสิกส์ประยุกต์สนใจหลายเรื่อง แกเน้นทางด้านภูมิอากาศวิทยา โมเดลทางด้านอุตุนิยมวิทยา เรดาห์ตรวจอากาศ ชั้นบรรยากาศของดาวอังคารแกก็มีผลงานตีพิมพ์ด้วย อะไรจะปานนั้น งานป.เอกที่ผมทำอยู่ออกแนวไปทางสนองความอยากรู้ของอาจารย์ ที่อยากรู้เกี่ยวกับภูมิอากาศและลักษณะน้ำฝนอินโดจีน ใช้เรดาห์ในการทำวิจัย แกจะมีไอเดียผุดออกมาตลอดเวลา หน้าที่ของผมคือไล่กวดและจับไอเดียแก มาเขียนโปรแกรมให้ทัน ให้ได้ตามกำหนด หา MATH ประยุกต์ใช้มันกับปัญหาที่อาจารย์เสนอมาให้ ยิ่งเอาผลที่ทำเสร็จไปให้ทีไร ก็จะได้งานใหม่มาทำเพิ่มขึ้นตลอด ผมนึกถึงรายการพ่อครัวกะทะเหล็กจริงๆ ที่ถ้าเวลาไม่หมด ก็จะไม่ยอมละและหยุดจากการทำอาหาร ญี่ปุ่นจะมีไอเดียและความคิดผุดมาตลอด ไม่ยอมหยุดนิ่งหรืออยู่เฉยๆ หายใจทิ้งไปแต่ละวินาทีเลย เค้าเชื่อว่าคนคนเดียวสามารถทำงานหลายงานได้ในเวลาพร้อมๆกัน แบบ Multi tasking นี่เป็น Assumption ของโปรเฟสเซอร์ชาวญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นสุภาพเกินไปไหม

สุภาพเกินไปไหมญี่ปุ่่น
คนญี่ปุ่นมีความสุภาพสูงมาก ผมว่าอันดับหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ เยอรมันที่ผมเคยไปเรียนอยู่สองปียังไม่เท่าขนาดนี้ ญี่ปุ่นจะเรียกใครจะมีคำนำหน้าว่าคุณตลอด (ซัง)  ใช้ชื่อนามสกุลในการเรียกชื่อ ไม่เหมือนบ้านเรา ศัพท์ความสุภาพที่ใช้ก็มีให้เลือกหลายระดับ( ซัง ซามะ) เวลากินหาอาหาร หรือ ชิมอาหารอะไร ต้องออกเสียงชมดังๆด้วย กินอาหารก็ต้องกินให้หมด ไม่หมดหมายความว่าดูถูกกันซะงั้น

เด็กในแลปคนนึงเป็นเด็กทุน JSPS เป็นรูปพี่ป.เอกปี3 เค้าไปทำแลปที่ Cambridge UK มาสี่เดือน เค้าบอกว่าไม่ชอบญี่ปุ่่นเลยทั้งที่ตัวเค้าเองก็ญี่ปุ่่น อะไรจะสุภาพ ประมาณว่าเสแสร้งได้ขนาดนั้น เค้าว่าของเค้าเองนะ เรียกชื่อนามสกุลอยู่ได้ ดูฝรั่งที่เค้าไปเจอมาสิ ไม่เห็นต้องมีซังเลย แต่เค้ารู้สึกปลดปล่อยมากๆ ได้ปาร์ตี้สุดเหวี่ยง มีแต่คนเฟรนด์ลี้ตลอด นี่เค้าคงไปเจอโลกกว้างมาเลยเกิดการเปรียบเทียบ ก็จริงแหละ ญี่ปุ่นระเบียบวินัยจัดเกินไป เคร่งในกฎของสังคมที่ต้องสุภาพ แต่ใจจริงผมว่ามนุษย์มันก็ไม่มีความสุภาพเท่าไหร่หรอก ความดิบมันมีอยู่ในตัว ขึ้นอยู่กับการแสดงออกตามสังคมมากกว่า แต่ญี่ปุ่นวินัยจัดเลยมีสองมาตรฐานในการแสดงออก