วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

ความคาดหวังในภาษาญี่ปุ่นอันยากยิ่ง

ความคาดหวังในภาษาญี่ปุ่นอันยากยิ่ง

ผมมีโอกาสดีที่ได้ไปเรียนต่อสองประเทศชั้นนำของโลก คือ เยอรมันในปี 2007 และ ญี่ปุ่นในปี 2010 ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่คิดว่าจะได้ไป ผมไม่มีความรู้ในทั้งสองภาษาที่เพียงพอเลยก่อนที่จะไป เพียงแต่เตรียมล่วงหน้าภาษาเยอรมันตอนก่อนจะไปได้แค่ประมาณ3เดือน แต่เรียนเฉพาะเสาร์อาทิตย์ที่รามคำแหง คอร์สละ 2000 กว่าบาท ซึ่งถูกและเหมาะกับฐานะผมมาก มันช่วยผมได้เยอะพอควร แต่ก็กระนั้นการเรียนแบบลูกทุ่งของผม มันก็ช่วยให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ในเยอรมัน แต่หากจะเอาเป็นการเป็นงานจริงๆ ก็อย่าหวังมาพึ่งผม เพราะบอกตรงๆว่าวันๆไม่เคยได้ใช้ภาษาเยอรมันเลย อีกทั้งความรู้ก็ไม่เพียงพอในการสื่อสาร ผมใช้แต่ภาษาอังกฤษกับเพื่อนเท่านั้น มันก็เป็นจุดที่ผมรู้สึกผิดหวังในตัวเหมือนกัน แต่สถานะการณ์ตอนนั้นจำเป็นที่ผมจะต้องเอาการเรียนในชั้นก่อน ไม่งั้นไม่จบแล้วจะแย่เอา เพราะค่าใช้จ่ายในแต่ละเดีอนก็หลายหมื่นบาทอยู่


มาถึงภาษาญี่ปุ่นนี่ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ มีตัวอักษรของตัวเอง ไม่เหมือนภาษาเยอรมันที่มีบางตัวเท่านั้น ญี่ปุ่นมีอักษร 3 ประเภท รวมโรมันจิก็เป็น 4 ก่อนมาผมก็ได้เตรียมตัวแค่จำตัวอักษรก็หมดเวลาแล้ว ผมได้มีโอกาสเรียนแค่อาทิตย์ละ 2 วันเหมือนตอนไปเยอรมันเหมือนเดิม แต่เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าแค่ 1 เดือน ซึ่งกระชั้นมาก พอมาถึงญี่ปุ่นตอนแรกๆก็กังวลว่าจะอยู่ได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ครบปีแล้วก็อยู่รอดมาได้แม้ไม่ได้ภาษาญี่ปุ่น ไม่ใช่ผมไม่เรียนนะ ผมลงเรียนในมหาลัยอาทิตย์ละวัน วันละ 3 ชั่วโมง แต่มันก็ไม่เพียงพอในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ตอนนี้พยายามจำศัพท์และประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้มากที่สุดก็พอ ความจำเป็นในการเรียนภาษาญี่ปุ่นผมว่ามันบีบบังคับมากกว่าตอนไปเยอรมัน ที่เยอรมัน คนรุ่นใหม่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วมาก แต่ที่ญี่ปุ่นคนรุ่นใหม่ก็พยายามในการพูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่ก็ไม่เก่งเท่าเยอรมัน

พอออกไปนอกมหาลัย เท่านั้นละ จบเห่เลย จำเป็นต้องมีความรู้อยู่บ้าง เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2011 รศ.ดร.ศรินทิพย์ มาอบรมที่เมืองเกียวโต กะว่าจะให้ผมเป็นล่ามให้ ก็ผิดหวังไปตามกัน ผมเลยส่งตัวแทนภรรยาผมไปเป็นล่ามให้ ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง พอต่อรองสินค้าและเจรจากับคนขายได้ เพราะเค้าเรียนทุกวัน มีการฝึกทุกษะตั้งแต่ ฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ค่าเรียนก็แพงมหาศาล หากเป็นไปได้ผมแนะนำว่าให้เตรียมภาษามาให้พร้อม ก่อนที่จะไปประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ แต่อย่างว่า คนที่มีงานประจำอยู่ก็ต้องทำใจ ภาษาอังกฤษได้ก็ถือว่าบุญแล้วละ ผมหวังว่าถ้าจบปี 3 แล้วผมคงจะเจรจา ต่อรองสินค้า คุยเรื่องชีวิตประจำวัน ฟังข่าว ฟังเพลงรู้เรื่องกะเขาบ้าง มันน่าจะสนุกไม่น้อย หรือไม่ก็ ฟังคนแลปนินทากันออก ก็น่าจะบรรลุเป้าหมายผมแล้วละ ตอนนี้ผมไปลงเรียนเกี่ยวกับการสนทนาอย่างง่ายกับ KIZUNA เป็นหน่วยงานช่วยเหลือนักศึกษาต่างชาติด้านภาษาญี่ปุ่นในม.เกียวโต เป็นคอร์สฟรี ผมจะพยายามมากขึ้นและสนุกกับมัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น