ศาสตราจารย์ Hayashi ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Heavy rainfall ของโลกอายุเกือบๆ 60
ทุกคนรู้ว่าญี่ปุ่นเป็นผู้นำแห่งเทคโนโลยี เป็นผู้นำแห่งนวัตกรรม ผู้นำความคิด สังคม วัฒนธรรมหลายเรื่อง อะไรที่จะประหยัดแรงงานคน อะไรที่จะทุ่นแรง ญี่ปุ่นจะทำ ไม่หายใจทิ้งไปในแต่ละวินาที เขามีความเชื่อว่าคนคนหนึ่งทำอะไรได้มากมาย ในเวลาอันจำกัด การช่วยเหลือพึ่งตนเองให้มากที่สุดคือสิ่งที่ญี่ปุ่นเป็นอยู่ ธรรมชาติอันโหดร้าย รุนแรง พายุ แผ่นดินไหว ทสึนามิ หนาว เย็น ร้อน มีหมด การเอาชนะธรรมชาติคือสิ่งที่ท้าทายของพวกเค้า และทำให้เป็นชาติที่ปรับตัวไวและดีที่สุดต่อการอยู่รอด
ผมได้มีโอกาสไปออกภาคสนามในรายวิชาของ GCOE กับ prof.Yoden และprof.Hayashi เพื่อไปตรวจอากาศด้านอุตุนิยมวิทยา ไปฝึกใช้เครื่องมือวัดตัวแปรด้านอากาศ สิ่งที่ผมตกใจและไม่เคยเห็นเลยในเมืองไทยนั่นคือ เชื่อไหมว่าอาจารย์เป็นผู้ขับรถพานศ.ป.โท มีผมป.เอกคนเดียวเดินทางนั่งรถมินิแวนไป Shirahama, Wakayama prefecture ท่านเป็นถึงศาสตราจารย์ระดับโลก ต้องขับรถ 3 ชั่วโมงด้วยวัยเกือบ 60 ปีแต่ยังดูแข็งแรงเหมือนคนวัย 40 ถ้าเป็นบ้านเราจะมีคนขับรถประจำคณะพาไป คอยบริการเหมือนเป็นทาสรับใช้ แต่ท่านต้องทำเอง ตั้งแต่ไปเช่ารถเอง ถือของอุปกรณ์ตรวจอากาศ Ultrasonic ตัวละ 3 ล้านเยน อุปกรณ์เชื่อมต่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างทำเองหมด พอไปถึงที่ก็เตรียมอาหารให้ด้วย ไม่มีเจ้าหน้าที่มารับเทคแคร์เหมือนเมืองไทย ทุกอย่างโปรจัดการเองหมด จบในคนๆเดียว แม้แต่การจัดเก้าอี้ให้เข้าสู่สภาพปกติหลังการอบรม แกก็เป็นคนจัดเอง prof.Yoden คนนี้ท่านเป็นหัวหน้าภาค Atmospheric science ที่ Kyoto university สามารถชี้เป็นชี้ตายคนเรียนป.โทและป.เอกให้จบ หรือไม่จบได้เลย ท่านยังต้องมาจัดเก้าอี้ ต่อโปรเจกเตอร์เอง แล้วอาจารย์บ้านเราล่ะ บางท่านคอยจะแต่บนหอคอย รอให้เจ้าหน้าที่ประเคน มันจะเกินไปแล้วนะผมว่า ถ้าลองเปลี่ยนมาทำทุกอย่างเอง พึ่งตัวเองให้มากที่สุด แล้วเมื่อเด็กน.ศ.เห็น เค้าก็จะทำตาม ไม่ต้องบอกให้น.ศ.มาเคารพหรอก ถ้าผู้ใหญ่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี น.ศ.ก็จะทำตามเอาเยี่ยงเอาอย่าง เดี๋ยวสังคมก็ดีตามเอง อาจารย์ที่นี่จะเป็นกันเองกับลูกศิษย์มากๆ ตกเย็นมาโปรเฟสเซอร์ทั้งหลายไปร่วมออนเซ็นด้วยกันกับเด็กป.โทและเอก มีการสังสรรค์คุยกันทุกคืนด้วยสาเก แต่ไม่ถึงกับเมามายเพียงแต่เป็นวัฒนธรรมของการทำความรู้จักกันให้มากขึ้น เพราะนักศึกษาทุกคนโตๆกันแล้ว มีความรับผิดชอบสูงเป็นที่ยอมรับไม่งั้นไม่สามารถเข้า Kyoto university ได้แน่ เพราะที่นี่คืออันดับที่ 24 ของโลก อันดับที่ 2 ของญี่ปุ่น รองจาก Tokyo University ซึ่งอันนั้นเค้าติดอันดับโลกใกล้เคียงกัน แต่ในญี่ปุ่นนั้นมีสองมหาลัยนี่แหละที่เป็นที่หมายตาของนักเรียนทั่วประเทศว่าต้องสอบเข้าให้ได้ ถ้าได้ก็เท่ห์ระเบิด เป็นเกียรติต่อวงตระกูล มีโอกาศได้งานดีๆ
สถานีตรวจอากาศที่ shionomisaki เตรียมปล่อยบอลลูน
ตอนเช้าของวันที่สามของการออกสนาม พวกผมต้องไปดูสถานีตรวจอากาศ อัตโนมัติที่มีการปล่อยบอลลูนเองตามเวลา 8.30 และ 16.30 อาจารย์บอกว่า แรงงานคนมันแพง พวกเราต้องหาทางคิดในการประหยัดแรงงานให้มากที่สุด แต่ก็ยังจ้างพนักงานไว้ 1 คนเพื่อทำหน้าที่บำรุงรักษาเครื่อง เปิดปิดประตู ว่าง่ายๆ ทำทุกอย่างในสถานีอัตโนมัตินี้ ดูเอาสิว่าชีวิตอัตโนมัติของญี่ปุ่นมันแทรกซึมไปทุกๆงาน ทุกแห่ง ถ้าอะไรที่จะประหยัดได้ ทุ่นเวลาได้ ก็คิดมันขึ้นสิ จะไปเสียเวลาใช้แรงงานคนไปทำไม แค่เสียเวลาคิด วิจัย สักหน่อย แต่ใช้ไปได้นานประยัดทรัพยากรหลายอย่าง
แถมอีกนิด จะสังเกตได้ว่าเวลาไปกินอาหารตามร้านอาหารทั่วไปของญี่ปุ่น จะมีพนักงานน้อยมาก บางร้านขายราเมงตู้หยอดเหรียญ(ร้านหน้ามหาลัยเกียวโตของผมเอง) มีคนทำงานแค่คนเดียว เป็นเด็กหนุ่มญี่ปุ่น อายุไม่น่าจะเกิน 25 ผมเห็นเค้าทำหน้าที่ตั้งแต่ รับแขก เสริฟน้ำ ลวกเส้นราเมง ปรุงราเมง ล้างจาน เก็บกวาดร้าน เช็ดโต๊ะ เรียกว่าทำหมดเลย ค่าแรงที่นี่มันแพง คนคนเดียวต้องทำหลายอย่าง ทำให้เป็นทุกงาน นี่คือระบบญี่ปุ่น ในบริษัทก็เหมือนกัน ถ้าทำงานกับญี่ปุ่นเค้าจะสอนทุกงาน เวียนกันไปจนชำนาญทุกเรื่อง นี่แหละคือญี่ปุ่น ผมว่าดีนะไม่เปลืองคน ไม่เหมือนหลายหน่วยงานที่เมืองไทย คนหนึ่งรู้แค่งานเดียว ไม่ชำนาญด้วย เวลาจะทำงานต้องยกกันไปเป็นขโยง ก็ไม่มั่นใจนี่ เพราะเราไม่มีระบบที่ดี แม้แต่มหาลัยผมก็ตาม ใช้เจ้าหน้าที่หรือแม้แต่อาจารย์เปลืองกันมากเกิน ผมเห็นว่าอย่างนี้นะ อย่าบอกว่าวัฒนธรรมต่างกันนะ ใช่ แต่สิ่งที่ดีเราก็ควรทำตามมิใช่หรือครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น