สถาบันวิจัยอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น
MRI
หอสังเกตุการณ์อุุตุนิยมวิทยา
สถาบันวิจัยอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น
Meteorological Research Institute(MRI) เป็นสถาบันหลักที่วิจัยเกี่ยวกับอุตุนิยมวิทยา
สังกัดหน่วยงาน อุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น หรือกรมอุตุประเทศญี่ปุ่น ประวัติก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1942
ปัจจุบันมีสำนังานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Tsukuba มีงบประมาณการวิจัยในแต่ละปีมากถึง 3000 ล้านเยน หรือประมาณ 1000
ล้านบาทต่อปี (ผมว่าเงินจำนวนนี้ ประเทศไทยก็สามารถจัดสรรได้ถ้าทำจริงๆนะครับ)
ทำให้มีงานวิจัยหลายส่วนที่เหมือนเป็นกระดูกสันหลังให้กับงานภาคปฎิบัติของกรม
มีส่วนงานวิจัยหลายส่วน เช่น Forecast, climate, typhoon,
Oceanogrphic, Meteorological Satellite and Observation System ส่วนงานนี้โปรเฟสของผมเคยเป็นนักวิจัยที่นี่มาก่อน
นักวิจัยที่นี่ต้องมีผลงานเป็นรูปธรรมที่วัดได้ ก็ไม่พ้นเรื่องเปเปอร์
แล้วผลการวิจัยต้องนำไปใช้กับงานภาคปฎิบัติได้ตามแต่ละเรื่อง เช่น
การคิดค้นอัลกอริทึมในการตรวจจับกระแสลมที่ปั่นป่วนด้วยดอปเปอร์เรดาร์
ก็จะนำไปใช้กับการตรวนสภาพอากาศรอบๆสนามบิน เพื่อระวังภัยให้กับเครื่องบินขึ้นลง
หลายหน่วยงานของญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีสถาบันวิจัยเป็นของตนเอง
เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ ที่ผมรู้ก็ยังมีหน่วยงานกรมชลประทานของญี่ปุ่น ก็มีสถาบันวิจัยของตนเองเหมือนกัน
ผมว่าประเทศไทยถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีสถาบันวิจัยจริงๆที่ทำงานพัฒนาองค์ความรู้ที่วัดได้
แล้วป้อนให้กับงานภาคปฎิบัติ เพราะการศึกษา มหาลัยเราพร้อมแล้ว คนก็เริ่มมีมากขึ้น
แต่งานวิจัยเราไปไหนไม่ได้ ก็เพราะการจัดระบบส่วนงานในกรมกองของเรายังล้าหลัง
เจ้าพนักงานรัฐก็มีแต่งานประจำ ไม่มีงานพัฒนาวิจัย
อันนี้ก็เลยเป็นสาเหตุหนึ่งให้เรามีปัญหาเรื่องการพัฒนาองค์ความรู้
แต่ถ้าหากมีสถาบันวิจัยของกรมนั้นๆ เช่น กรมอุตุ กรมชลประทาน หรือ สทอภ.(GISTDA) ถ้าหากมีสถาบันวิจัยจัดให้เป็นหรือคล้ายๆ
Nectech, TDRI ของแต่ละกรมไปเลย มีงบประมาณและการบริหารงานที่เป็นมีอิสระจากกรมนั้นๆ
จะได้ไม่ต้องมีการเกรงใจเรื่องวิชาการกัน กล้าพูด
กล้าแสดงความคิดเห็นเพราะไม่ต้องกลัวโดนหมายหัว ทำให้เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานกัน
ผมว่าสถาบันกรมกองจะอยู่ต่อไปและพัฒนาต่อไปคู่กันได้
แต่ต้องมีงบพัฒนาบุคคลากรนะครับ ให้ได้ไปศึกษาต่อในระดับที่สูงที่สุดจนถึงระดับหลังปริญญาเอก
แล้วไปสร้างคอนเนกชั่น
ดึงโปรเฟสเซอร์ที่ตนทำงานด้วยมาช่วยกันวิจัยในแลปของตนในสถาบันวิจัยนั้นๆ
อย่างนี้จะได้ผลกว่าส่งเด็กไปเรียนต่อต่างประเทศแต่กลับมาก็เข้ามาอยู่กระทรวงกันเต็ม
ดร.เดินชนกัน วันๆเอาแต่ประชุม ไม่มีแลปวิจัย ไม่มีหน่วยงานวิจัยรองรับเหมือนกระทรวงวิทยาศาสตร์ที่มีดร.เยอะมากๆ
แต่ไม่มีงานวิจัยจริงๆ
ถ้าหากทำได้เช่นนี้
ผมว่าอีกหน่อยเราจะมีนักวิจัยที่เก่ง และมีผลงานในเชิงปฎิบัติ มีเปเปอร์ ออกมา
มีองค์ความรู้ที่พัฒนาเอง ถ้านักวิจัยเหล่านี้อยากไปเป็นอาจารย์หลังจากทำงานได้สัก
5-10ปี เมืองไทยก็จะได้อาจารย์ที่เก่งวิจัย เอาประสบการณ์จริงๆมาสอนเด็กต่อ
พัฒนาประเทศด้วยงานวิจัยต่อไป เหมือนญี่ปุ่น หรือประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น