วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สถาบันวิจัยอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น MRI

สถาบันวิจัยอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น MRI
 

 หอสังเกตุการณ์อุุตุนิยมวิทยา
 

สถาบันวิจัยอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น Meteorological Research Institute(MRI) เป็นสถาบันหลักที่วิจัยเกี่ยวกับอุตุนิยมวิทยา สังกัดหน่วยงาน อุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น หรือกรมอุตุประเทศญี่ปุ่น ประวัติก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1942 ปัจจุบันมีสำนังานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Tsukuba มีงบประมาณการวิจัยในแต่ละปีมากถึง 3000 ล้านเยน หรือประมาณ 1000 ล้านบาทต่อปี (ผมว่าเงินจำนวนนี้ ประเทศไทยก็สามารถจัดสรรได้ถ้าทำจริงๆนะครับ) ทำให้มีงานวิจัยหลายส่วนที่เหมือนเป็นกระดูกสันหลังให้กับงานภาคปฎิบัติของกรม มีส่วนงานวิจัยหลายส่วน เช่น Forecast, climate, typhoon, Oceanogrphic, Meteorological Satellite and Observation System ส่วนงานนี้โปรเฟสของผมเคยเป็นนักวิจัยที่นี่มาก่อน นักวิจัยที่นี่ต้องมีผลงานเป็นรูปธรรมที่วัดได้ ก็ไม่พ้นเรื่องเปเปอร์ แล้วผลการวิจัยต้องนำไปใช้กับงานภาคปฎิบัติได้ตามแต่ละเรื่อง เช่น การคิดค้นอัลกอริทึมในการตรวจจับกระแสลมที่ปั่นป่วนด้วยดอปเปอร์เรดาร์ ก็จะนำไปใช้กับการตรวนสภาพอากาศรอบๆสนามบิน เพื่อระวังภัยให้กับเครื่องบินขึ้นลง

หลายหน่วยงานของญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีสถาบันวิจัยเป็นของตนเอง เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ ที่ผมรู้ก็ยังมีหน่วยงานกรมชลประทานของญี่ปุ่น ก็มีสถาบันวิจัยของตนเองเหมือนกัน ผมว่าประเทศไทยถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีสถาบันวิจัยจริงๆที่ทำงานพัฒนาองค์ความรู้ที่วัดได้ แล้วป้อนให้กับงานภาคปฎิบัติ เพราะการศึกษา มหาลัยเราพร้อมแล้ว คนก็เริ่มมีมากขึ้น แต่งานวิจัยเราไปไหนไม่ได้ ก็เพราะการจัดระบบส่วนงานในกรมกองของเรายังล้าหลัง เจ้าพนักงานรัฐก็มีแต่งานประจำ ไม่มีงานพัฒนาวิจัย อันนี้ก็เลยเป็นสาเหตุหนึ่งให้เรามีปัญหาเรื่องการพัฒนาองค์ความรู้ 
 
แต่ถ้าหากมีสถาบันวิจัยของกรมนั้นๆ เช่น กรมอุตุ กรมชลประทาน หรือ สทอภ.(GISTDA) ถ้าหากมีสถาบันวิจัยจัดให้เป็นหรือคล้ายๆ Nectech, TDRI ของแต่ละกรมไปเลย มีงบประมาณและการบริหารงานที่เป็นมีอิสระจากกรมนั้นๆ จะได้ไม่ต้องมีการเกรงใจเรื่องวิชาการกัน กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็นเพราะไม่ต้องกลัวโดนหมายหัว ทำให้เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ผมว่าสถาบันกรมกองจะอยู่ต่อไปและพัฒนาต่อไปคู่กันได้ แต่ต้องมีงบพัฒนาบุคคลากรนะครับ ให้ได้ไปศึกษาต่อในระดับที่สูงที่สุดจนถึงระดับหลังปริญญาเอก แล้วไปสร้างคอนเนกชั่น ดึงโปรเฟสเซอร์ที่ตนทำงานด้วยมาช่วยกันวิจัยในแลปของตนในสถาบันวิจัยนั้นๆ อย่างนี้จะได้ผลกว่าส่งเด็กไปเรียนต่อต่างประเทศแต่กลับมาก็เข้ามาอยู่กระทรวงกันเต็ม ดร.เดินชนกัน วันๆเอาแต่ประชุม ไม่มีแลปวิจัย ไม่มีหน่วยงานวิจัยรองรับเหมือนกระทรวงวิทยาศาสตร์ที่มีดร.เยอะมากๆ แต่ไม่มีงานวิจัยจริงๆ 
 
ถ้าหากทำได้เช่นนี้ ผมว่าอีกหน่อยเราจะมีนักวิจัยที่เก่ง และมีผลงานในเชิงปฎิบัติ มีเปเปอร์ ออกมา มีองค์ความรู้ที่พัฒนาเอง ถ้านักวิจัยเหล่านี้อยากไปเป็นอาจารย์หลังจากทำงานได้สัก 5-10ปี เมืองไทยก็จะได้อาจารย์ที่เก่งวิจัย เอาประสบการณ์จริงๆมาสอนเด็กต่อ พัฒนาประเทศด้วยงานวิจัยต่อไป เหมือนญี่ปุ่น หรือประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น