วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รถโดยสารสาธารณะสวัสดิการสังคมที่ต้องดูแล

รถโดยสารสาธารณะสวัสดิการสังคมที่ต้องดูแล

เรียนป.เอกการเข้าฟังสัมนา พบปะนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญและถกปัญหาข้อสงสัย เป็นเรื่องที่ควรกระทำเป็นปรกติของนักวิจัย เมื่อวานวันศุกร์ที่ 6 กค. 55 ผมได้เดินทางไปเข้าฟังสัมนาเรื่องเรดาร์ตรวจน้ำฝนที่แคมปัสอุจิ(Uji campus) เป็นอีกแคมปัสหนึ่งอยู่ทางใต้จากแคมปัสหลักโยชิดะของม.เกียวโต ที่นี่มีสายวิทยาศาสตร์และวิศวะทำวิจัยเป็นหลัก มีห้องแลปที่กว้างและทันสมัยมาก มีศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ มีวิจัยเรื่องภัยพิบัติเป็นต้น 

การเดินทางจะมีรถบัสของมหาลัยให้บริการเดินทางจากแคมปัสหลักมาใช้เวลา 50นาที แล้วก็สามารถเดินทางไปแคมปัสคัทซึระได้อีกด้วยก็ประมาณ 1 ชม.(ตารางเดินรถ shuttlebus ม.เกียวได ) ขาไปผมใช้บริการรถ Keihan เป็นรถไฟธรรมดามา แต่ขากลับผมใช้บริการรถมหาลัย ซึ่งจะมีตารางบอกว่ารถจะออกเดินทางกี่โมง ซึ่งก็จะตามนั้นจริงๆ ไม่มีคลาดเคลื่อน ยืนยันครับ แต่ป้ายเขียนเป็นคันจิ (ภาษาจีนที่ญี่ปุ่นนำมาใช้) ผมอ่านไม่ออกทั้งหมดเลยไม่เข้าใจ ผมจึงเข้าไปถามพนักงานขับรถ พอพนักงานเปิดกระจกมา ผมตกใจเลยเพราะเป็นเด็กสาวอายุประมาณไม่เกิน 20-25 ปี ยังสาวและสวย หน้าตาคิกขุอาโนเนะ เหมือนนักศึกษาทั่วไปของม.เกียวได แต่หากความรับผิดชอบของแม่หนูนักขับนี้ ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เพราะในรถบัสมีนักวิจัย นักศึกษา โปรเฟสเซอร์ อยู่เต็มคันรถ ทุกชีวิตมีคุณค่า แต่หากรถคันนี้ถือว่าเต็มไปด้วยอนาคตของญี่ปุ่นส่วนหนึ่งที่สำคัญ งานขับรถจึงเป็นงานที่ต้องการคนมีคุณภาพจริงๆ ที่ได้รับการคัดสรร เพื่อที่จะรับผิดชอบชีวิตของผู้อื่น และเชื่อว่ากว่าจะมาเป็นแม่หนูนักขับ ทางมหาลัยต้องมีการสอบคัดเลือกมาเป็นอย่างดี และกว่าจะได้ใบขับขี่ก็ต้องเคี่ยวฝึกฝน เพื่อให้สอบผ่านให้ได้ เพราะมีรุ่นน้องเคยไปสอบใบขับขี่รถยนต์มา เค้าบอกยากกว่าเมืองไทยเยอะ สอบสองครั้งถึงผ่าน ถือว่าเก่งมากแล้ว แล้วค่าสอบแต่ละครั้งก็แพงใช่เล่น หลายสิบเท่าตัวของเมืองไทย แม่หนูคนนี้ก็สุภาพได้ใจมากๆครับ แล้วผู้โดยสารก็จะขอบคุณคนขับทุกครั้งอย่างสุภาพในตอนเดินลงจากรถ เป็นภาพที่น่าประทับใจมากๆ ที่จะไม่เห็นที่ไหนในโลก ผมเชื่อเช่นนั้นแต่อาจจะมีก็ได้ แต่เยอรมัน จีน ไทย ไม่มีแน่นอนครับ


ป้ายรถเมล์ในเกียวโตบอกเวลาที่รถจะมาถึงป้ายอย่างเที่ยงตรง

เรื่องนี้ทำให้ผมย้อนกลับไปคิดสมัยที่ยังหนุ่มๆ ที่หอบกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาทำงานในกทม.ช่วงปี 2546-2550  เพื่อมาขายแรงงาน เป็นกรรมกรคอมพิวเตอร์ทำแผนที่และหาโอกาสเรียนต่อให้ตัวเองนั้น ด้วยเงินเดือนกรรมกรจริงๆในตอนนั้น ผมพักอยู่แถวคลองตัน ย่านมุสลิม ข้างทางรถไฟสายตะวันออกที่จะไปหัวตะเข้ ลาดกระบังและฉะเชิงเทรา ผมต้องนั่งรถเมล์ไปทำงานซอยกล้วยน้ำไท ผ่านเส้นทางรถติดของสุขุมวิท 71 พระขโนง จะมีรถเมล์เขียวราคา 3.50 บาทที่ผมใช้บริการประจำ แย่งกันเข้าป้ายกับรถเมลล์ของขสมก.และเอกชนรายอื่น ปาดหน้าปาดหลัง เพราะต้องการทำเวลา ผมบอกว่าทั้งหมดนะครับ ที่ไม่เป็นรถปรับอากาศ พฤติกรรมเป็นอย่างนี้ทั้งหมด กระเป๋าก็ขู่ ตะคอก ชิดในพี่ อย่าขวางประตู ไม่มียิ้มแย้ม นานๆจะมีคนใจดี พูดดีให้บริการดีสักคน วันดีคืนดีจากกระเป๋าก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนขับรถซะงั้น ผมก็สงสัยว่าพวกนี้ผ่านการทดสอบจากขสมก.ว่าได้มาตรฐานในการขับขี่แล้วบริการหรือไม่ มีการดูแลสวัสดิการคนพวกนี้อย่างไร มีการตรวจสุขภาพพวกเขาประจำหรือไม่อย่างน้อยปีละสองครั้ง ทำไมมาตรฐานการบริการของรถร่วม กับ รถปรับอากาศสีส้มเมื่อก่อนนะครับ ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากะเหว หรือหน้ามือกะหลังตีน ชีวิตของผู้โดยสาร อนาคตของชาติ ต้องฝากไว้กับพนักงานพวกนี้แบบไม่มีทางเลือกต่อไปอย่างนั้นหรือ 

บ้านเมืองในโลกกำลังพัฒนาไปเรื่อยๆ ประเทศไทยก็อยู่กับที่ไปเรื่อยๆ มันก็คืนถอยหลังไปเรื่อยๆ เหมือนบอลไทย ไปได้ไงเนี่ย พอเรายืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่ารถสายที่เราจะใช้บริการมันจะมาถึงเมื่อไร กี่นาที เพราะรถมันเยอะกว่าถนน คนที่อายุไม่ถึงก็สามารถขับรถได้ เอาไปชนคนตายก็หลายศพ พ่อแม่ซื้อรถให้นศ.ขับรถไปเรียน รถแท็กซี่ก็ผุดและเพิ่มขึ้นเป็นดอกเห็ด แน่นไปหมด กทม.ไม่ใช่รัฐอเมริกาที่กว้างใหญ่ไพศาล ที่คนส่วนใหญ่มีรถ บ้านอยู่นอกเมือง แต่กทม.ต้องมีระบบขนส่งมวลชนที่ดี และตรงเวลา กระจายให้ครอบคลุม ถ้าทำได้ไวเท่าไรกทม.ก็จะดีขึ้นเท่านั้น คนจะใช้รถส่วนตัวน้อยลง แม้ว่าจะสร้างถนนเพิ่ม หลายชั้น ทางด่วนนู้นนี่ มันก็ไม่พอหรอก ต่อรถที่แน่นขึ้นทุกวัน แต่ขอเน้นเรื่องสำคัญก็คือการคอรัปชั่น ทุกอย่าง ตราบใดที่ยังมีอย่างเปิดเผยทุกคนรู้ว่ามี แต่ทำอะไรไม่ได้เหมือนทุกวั้นนี้ รถก็ยังจะติด สร้างอะไรก็โดนเก็บหัวคิว ประเทศไทยก็ไปไม่ถึงไหนสักทีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น