รถโดยสารสาธารณะสวัสดิการสังคมที่ต้องดูแล
เรียนป.เอกการเข้าฟังสัมนา พบปะนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญและถกปัญหาข้อสงสัย
เป็นเรื่องที่ควรกระทำเป็นปรกติของนักวิจัย เมื่อวานวันศุกร์ที่ 6 กค. 55 ผมได้เดินทางไปเข้าฟังสัมนาเรื่องเรดาร์ตรวจน้ำฝนที่แคมปัสอุจิ(Uji
campus) เป็นอีกแคมปัสหนึ่งอยู่ทางใต้จากแคมปัสหลักโยชิดะของม.เกียวโต
ที่นี่มีสายวิทยาศาสตร์และวิศวะทำวิจัยเป็นหลัก มีห้องแลปที่กว้างและทันสมัยมาก
มีศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ มีวิจัยเรื่องภัยพิบัติเป็นต้น
การเดินทางจะมีรถบัสของมหาลัยให้บริการเดินทางจากแคมปัสหลักมาใช้เวลา
50นาที
แล้วก็สามารถเดินทางไปแคมปัสคัทซึระได้อีกด้วยก็ประมาณ 1 ชม.(ตารางเดินรถ shuttlebus ม.เกียวได )
ขาไปผมใช้บริการรถ Keihan เป็นรถไฟธรรมดามา แต่ขากลับผมใช้บริการรถมหาลัย
ซึ่งจะมีตารางบอกว่ารถจะออกเดินทางกี่โมง ซึ่งก็จะตามนั้นจริงๆ ไม่มีคลาดเคลื่อน
ยืนยันครับ แต่ป้ายเขียนเป็นคันจิ (ภาษาจีนที่ญี่ปุ่นนำมาใช้)
ผมอ่านไม่ออกทั้งหมดเลยไม่เข้าใจ ผมจึงเข้าไปถามพนักงานขับรถ พอพนักงานเปิดกระจกมา
ผมตกใจเลยเพราะเป็นเด็กสาวอายุประมาณไม่เกิน 20-25 ปี ยังสาวและสวย
หน้าตาคิกขุอาโนเนะ เหมือนนักศึกษาทั่วไปของม.เกียวได
แต่หากความรับผิดชอบของแม่หนูนักขับนี้ ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เพราะในรถบัสมีนักวิจัย
นักศึกษา โปรเฟสเซอร์ อยู่เต็มคันรถ ทุกชีวิตมีคุณค่า แต่หากรถคันนี้ถือว่าเต็มไปด้วยอนาคตของญี่ปุ่นส่วนหนึ่งที่สำคัญ
งานขับรถจึงเป็นงานที่ต้องการคนมีคุณภาพจริงๆ ที่ได้รับการคัดสรร
เพื่อที่จะรับผิดชอบชีวิตของผู้อื่น และเชื่อว่ากว่าจะมาเป็นแม่หนูนักขับ
ทางมหาลัยต้องมีการสอบคัดเลือกมาเป็นอย่างดี
และกว่าจะได้ใบขับขี่ก็ต้องเคี่ยวฝึกฝน เพื่อให้สอบผ่านให้ได้
เพราะมีรุ่นน้องเคยไปสอบใบขับขี่รถยนต์มา เค้าบอกยากกว่าเมืองไทยเยอะ
สอบสองครั้งถึงผ่าน ถือว่าเก่งมากแล้ว แล้วค่าสอบแต่ละครั้งก็แพงใช่เล่น
หลายสิบเท่าตัวของเมืองไทย แม่หนูคนนี้ก็สุภาพได้ใจมากๆครับ แล้วผู้โดยสารก็จะขอบคุณคนขับทุกครั้งอย่างสุภาพในตอนเดินลงจากรถ
เป็นภาพที่น่าประทับใจมากๆ ที่จะไม่เห็นที่ไหนในโลก
ผมเชื่อเช่นนั้นแต่อาจจะมีก็ได้ แต่เยอรมัน จีน ไทย ไม่มีแน่นอนครับ
ป้ายรถเมล์ในเกียวโตบอกเวลาที่รถจะมาถึงป้ายอย่างเที่ยงตรง
เรื่องนี้ทำให้ผมย้อนกลับไปคิดสมัยที่ยังหนุ่มๆ
ที่หอบกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาทำงานในกทม.ช่วงปี 2546-2550 เพื่อมาขายแรงงาน
เป็นกรรมกรคอมพิวเตอร์ทำแผนที่และหาโอกาสเรียนต่อให้ตัวเองนั้น ด้วยเงินเดือนกรรมกรจริงๆในตอนนั้น
ผมพักอยู่แถวคลองตัน ย่านมุสลิม ข้างทางรถไฟสายตะวันออกที่จะไปหัวตะเข้ ลาดกระบังและฉะเชิงเทรา
ผมต้องนั่งรถเมล์ไปทำงานซอยกล้วยน้ำไท ผ่านเส้นทางรถติดของสุขุมวิท 71 พระขโนง
จะมีรถเมล์เขียวราคา 3.50 บาทที่ผมใช้บริการประจำ
แย่งกันเข้าป้ายกับรถเมลล์ของขสมก.และเอกชนรายอื่น ปาดหน้าปาดหลัง เพราะต้องการทำเวลา
ผมบอกว่าทั้งหมดนะครับ ที่ไม่เป็นรถปรับอากาศ พฤติกรรมเป็นอย่างนี้ทั้งหมด
กระเป๋าก็ขู่ ตะคอก ชิดในพี่ อย่าขวางประตู ไม่มียิ้มแย้ม นานๆจะมีคนใจดี
พูดดีให้บริการดีสักคน วันดีคืนดีจากกระเป๋าก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนขับรถซะงั้น
ผมก็สงสัยว่าพวกนี้ผ่านการทดสอบจากขสมก.ว่าได้มาตรฐานในการขับขี่แล้วบริการหรือไม่
มีการดูแลสวัสดิการคนพวกนี้อย่างไร มีการตรวจสุขภาพพวกเขาประจำหรือไม่อย่างน้อยปีละสองครั้ง
ทำไมมาตรฐานการบริการของรถร่วม กับ รถปรับอากาศสีส้มเมื่อก่อนนะครับ
ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากะเหว หรือหน้ามือกะหลังตีน ชีวิตของผู้โดยสาร อนาคตของชาติ
ต้องฝากไว้กับพนักงานพวกนี้แบบไม่มีทางเลือกต่อไปอย่างนั้นหรือ
บ้านเมืองในโลกกำลังพัฒนาไปเรื่อยๆ
ประเทศไทยก็อยู่กับที่ไปเรื่อยๆ มันก็คืนถอยหลังไปเรื่อยๆ เหมือนบอลไทย ไปได้ไงเนี่ย
พอเรายืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่ารถสายที่เราจะใช้บริการมันจะมาถึงเมื่อไร
กี่นาที เพราะรถมันเยอะกว่าถนน คนที่อายุไม่ถึงก็สามารถขับรถได้ เอาไปชนคนตายก็หลายศพ
พ่อแม่ซื้อรถให้นศ.ขับรถไปเรียน รถแท็กซี่ก็ผุดและเพิ่มขึ้นเป็นดอกเห็ด แน่นไปหมด กทม.ไม่ใช่รัฐอเมริกาที่กว้างใหญ่ไพศาล
ที่คนส่วนใหญ่มีรถ บ้านอยู่นอกเมือง แต่กทม.ต้องมีระบบขนส่งมวลชนที่ดี และตรงเวลา
กระจายให้ครอบคลุม ถ้าทำได้ไวเท่าไรกทม.ก็จะดีขึ้นเท่านั้น คนจะใช้รถส่วนตัวน้อยลง
แม้ว่าจะสร้างถนนเพิ่ม หลายชั้น ทางด่วนนู้นนี่ มันก็ไม่พอหรอก
ต่อรถที่แน่นขึ้นทุกวัน แต่ขอเน้นเรื่องสำคัญก็คือการคอรัปชั่น ทุกอย่าง
ตราบใดที่ยังมีอย่างเปิดเผยทุกคนรู้ว่ามี แต่ทำอะไรไม่ได้เหมือนทุกวั้นนี้
รถก็ยังจะติด สร้างอะไรก็โดนเก็บหัวคิว ประเทศไทยก็ไปไม่ถึงไหนสักทีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น