วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

จิตสาธารณะในการใช้ห้องน้ำญี่ปุ่น


จิตสาธารณะในการใช้ห้องน้ำญี่ปุ่น
ถ้าหากใครเคยมาเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นจะสงสัยในความเป็นระเบียบและสอาดของบ้านเมืองแห่งนี้เป็นอย่างมาก ผมก็ไม่เคยถามเพื่อนในแลปเหมือนกันว่ามันมีกฎหมายหรือบทลงโทษแก่ผู้ที่ทิ้งขยะหรือถ่มน้ำลายบนพื้นที่สาธารณะหรือไม่ เหมือนประเทศสิงคโปร์ที่เคยได้ยินมา แต่คนที่นี่ก็ไม่ได้ปฎิบัติตัวเป็นภาระสังคม แถมยังช่วยเหลือเกื้อกูลกันอีกต่างหากในการเก็บกวาด ห้องน้ำก็เช่นกันเป็นตัวอย่างที่ดีและใกล้ตัวมากๆ แลปผม(คิดว่าเหมือนกันทุกแลปในญี่ปุ่น)จะมีนักศึกษาตั้งแต่ป.ตรีปีสี่ ไปจนระดับหลังปริญญาเอก แล้วทุกคนรวมทั้งอาจารย์พวกเราจะใช้ห้องน้ำร่วมกันอย่างเสมอภาค ไม่มีแบ่งชนชั้นนี่ห้องน้ำอาจารย์นะ ห้ามเข้า ไม่มีครับ เพราะทุกคนที่มาใช้มีจิตสาธารณะ แล้วอีกประการคนทำความสะอาดห้องน้ำก็มีจิตสาธารณะ เค้าจะมาทำความสะอาดทุกวัน ตรงเวลา และมีมาตรฐานที่เท่าเทียมกันทุกวัน ทั้งที่เจ้าหน้าที่พวกนี้เป็นบุคคลที่มีสติปัญญาไม่ปรกตินะครับ คือเป็นโรคออร์ทิสติก แต่ได้รับการฝึกฝนให้ทำหน้าที่ในแต่ละวันเพื่อไม่ให้ดูว่าไร้ค่า ดูเอาสิครับ เค้าเอาใจใส่ทุกคนทุกชนชั้น ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร แล้วคนพวกนี้ก็มีจิตสาธารณะและความรับผิดชอบในห้านที่ของตัวเค้าเองไม่แพ้คนปรกติอย่างเราๆเลย (แต่ไม่รู้บางทีเราก็อาจสู้เค้าไม่ได้นะครับ) แต่ตั้งแต่ผมอยู่มา ไม่เคยเลยสักวันที่จะสกปรกจนทนไม่ได้ เหมือนที่เคยเจอในเมืองจีนที่ผมเคยไปเรียนอยู่ในระยะเวลาสั้นๆเมื่อสิบปีก่อน บอกได้คำเดียวว่าหากท่านใดไม่เคยสูบบุหรี่ก็ต้องขอสูบใน ณเวลานั้นครับ เหมือนโน้ตพูดในเดี่ยวเก้านั่นแหละ

 ที่นี่ญี่ปุ่นทุกคนจะรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป และคิดเผื่อให้คนที่จะมาใช้ต่อ นี่คือปรัชญาขั้นสุดยอด ประเทศใดมี บ้านเมืองใดมี บ้านเมืองนั้นเจริญครับ เอาประยุกต์ได้ทุกอย่าง เช่น การเตะฟุตบอล นักฟุตบอลบ้านเราเมื่อก่อนก็ชอบเลี้ยงและทำตัวเด่น ครองบอลให้นานๆ แต่พอจวนตัวแล้วจึงค่อยส่ง เพื่อนร่วมทีมได้รับลูกไปก็ไปต่อไม่ได้ โดนแย่งซะงั้น เพราะไอ้คนส่งลูกนั้นไม่มีจิตสาธารณะ ไม่คิดเผื่อแผ่ แก่คนอื่น เห็นแก่ตัวว่ากันง่ายๆครับ เราควรจะปลูกฝังกันที่บ้าน พ่อแม่ ต้องสอนลูกว่าทำอะไรต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตนทำและคิดเผื่อไปด้วยว่าจะสร้างความเดือดร้อนแก่คนอื่นหรือไม่ เอาแค่นี้ก่อนครับ ทำให้ได้ มาโรงเรียนอาจารย์ครูก็ต้องทำเป็นตัวอย่าง มหาลัยก็ต้องสอนเพราะเด็กนักศึกษาก็ต้องการตัวอย่าง โดยอาจารย์และบุคลากรต้องทำเป็นตัวอย่างแก่เด็กนักศึกษา เหมือนอาจารย์รุ่นพี่ผมคนนึงกำลังทำอยู่ที่คณะ ให้เด็กนักศึกษามาช่วยกันพัฒนาสถานที่ เก็บกวาด ปลูกฝังความเป็นระเบียบในการจอดรถ คิดเผื่อคนอื่น ช่วยกันทำ เริ่มที่ตัวของแต่ละคนก่อนแล้วสังคมก็จะดีตามมา

สถาบันวิจัยอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น MRI

สถาบันวิจัยอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น MRI
 

 หอสังเกตุการณ์อุุตุนิยมวิทยา
 

สถาบันวิจัยอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น Meteorological Research Institute(MRI) เป็นสถาบันหลักที่วิจัยเกี่ยวกับอุตุนิยมวิทยา สังกัดหน่วยงาน อุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น หรือกรมอุตุประเทศญี่ปุ่น ประวัติก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1942 ปัจจุบันมีสำนังานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Tsukuba มีงบประมาณการวิจัยในแต่ละปีมากถึง 3000 ล้านเยน หรือประมาณ 1000 ล้านบาทต่อปี (ผมว่าเงินจำนวนนี้ ประเทศไทยก็สามารถจัดสรรได้ถ้าทำจริงๆนะครับ) ทำให้มีงานวิจัยหลายส่วนที่เหมือนเป็นกระดูกสันหลังให้กับงานภาคปฎิบัติของกรม มีส่วนงานวิจัยหลายส่วน เช่น Forecast, climate, typhoon, Oceanogrphic, Meteorological Satellite and Observation System ส่วนงานนี้โปรเฟสของผมเคยเป็นนักวิจัยที่นี่มาก่อน นักวิจัยที่นี่ต้องมีผลงานเป็นรูปธรรมที่วัดได้ ก็ไม่พ้นเรื่องเปเปอร์ แล้วผลการวิจัยต้องนำไปใช้กับงานภาคปฎิบัติได้ตามแต่ละเรื่อง เช่น การคิดค้นอัลกอริทึมในการตรวจจับกระแสลมที่ปั่นป่วนด้วยดอปเปอร์เรดาร์ ก็จะนำไปใช้กับการตรวนสภาพอากาศรอบๆสนามบิน เพื่อระวังภัยให้กับเครื่องบินขึ้นลง

หลายหน่วยงานของญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีสถาบันวิจัยเป็นของตนเอง เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ ที่ผมรู้ก็ยังมีหน่วยงานกรมชลประทานของญี่ปุ่น ก็มีสถาบันวิจัยของตนเองเหมือนกัน ผมว่าประเทศไทยถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีสถาบันวิจัยจริงๆที่ทำงานพัฒนาองค์ความรู้ที่วัดได้ แล้วป้อนให้กับงานภาคปฎิบัติ เพราะการศึกษา มหาลัยเราพร้อมแล้ว คนก็เริ่มมีมากขึ้น แต่งานวิจัยเราไปไหนไม่ได้ ก็เพราะการจัดระบบส่วนงานในกรมกองของเรายังล้าหลัง เจ้าพนักงานรัฐก็มีแต่งานประจำ ไม่มีงานพัฒนาวิจัย อันนี้ก็เลยเป็นสาเหตุหนึ่งให้เรามีปัญหาเรื่องการพัฒนาองค์ความรู้ 
 
แต่ถ้าหากมีสถาบันวิจัยของกรมนั้นๆ เช่น กรมอุตุ กรมชลประทาน หรือ สทอภ.(GISTDA) ถ้าหากมีสถาบันวิจัยจัดให้เป็นหรือคล้ายๆ Nectech, TDRI ของแต่ละกรมไปเลย มีงบประมาณและการบริหารงานที่เป็นมีอิสระจากกรมนั้นๆ จะได้ไม่ต้องมีการเกรงใจเรื่องวิชาการกัน กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็นเพราะไม่ต้องกลัวโดนหมายหัว ทำให้เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ผมว่าสถาบันกรมกองจะอยู่ต่อไปและพัฒนาต่อไปคู่กันได้ แต่ต้องมีงบพัฒนาบุคคลากรนะครับ ให้ได้ไปศึกษาต่อในระดับที่สูงที่สุดจนถึงระดับหลังปริญญาเอก แล้วไปสร้างคอนเนกชั่น ดึงโปรเฟสเซอร์ที่ตนทำงานด้วยมาช่วยกันวิจัยในแลปของตนในสถาบันวิจัยนั้นๆ อย่างนี้จะได้ผลกว่าส่งเด็กไปเรียนต่อต่างประเทศแต่กลับมาก็เข้ามาอยู่กระทรวงกันเต็ม ดร.เดินชนกัน วันๆเอาแต่ประชุม ไม่มีแลปวิจัย ไม่มีหน่วยงานวิจัยรองรับเหมือนกระทรวงวิทยาศาสตร์ที่มีดร.เยอะมากๆ แต่ไม่มีงานวิจัยจริงๆ 
 
ถ้าหากทำได้เช่นนี้ ผมว่าอีกหน่อยเราจะมีนักวิจัยที่เก่ง และมีผลงานในเชิงปฎิบัติ มีเปเปอร์ ออกมา มีองค์ความรู้ที่พัฒนาเอง ถ้านักวิจัยเหล่านี้อยากไปเป็นอาจารย์หลังจากทำงานได้สัก 5-10ปี เมืองไทยก็จะได้อาจารย์ที่เก่งวิจัย เอาประสบการณ์จริงๆมาสอนเด็กต่อ พัฒนาประเทศด้วยงานวิจัยต่อไป เหมือนญี่ปุ่น หรือประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายครับ