วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คติเตือนใจในการพัฒนาตน

คติเตือนใจในการพัฒนาตน
2013.12.21
ผมลืมตามาดูโลกครบแล้ว 33 ปี ก็ผ่านอะไรมาเยอะพอควร และก็ยังไม่ได้เจออะไรอีกมากมาย ก็อยากเขียนข้อความเตือนใจตนเองไว้ เผื่อหลงทางในการพัฒนาตนเอง
+++งาน+++
ให้คิดอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ มันมีโอกาศและช่องว่างรอให้เราพัฒนาอยู่เสมอ
ให้คิดอยู่เสมอว่าไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะทำหรือไม่ และขึ้นอยู่กับคำจำกัดความของเป้าหมายนั้นคืออะไร
ให้ทำในสิ่งที่บ้านเมืองเรายังไม่มี หรือมีแต่ยังไม่ก้าวหน้า ไม่ต้องทำซ้ำในสิ่งที่คนทำกันอยู่แล้ว
ให้ทำจากเล็กไปใหญ่ ทำจากรู้ไปไม่รู้ ทำจากสิ่งที่ถนัดไปในสิ่งที่ไม่ถนัด เพียงแค่หาความรู้และทำให้เต็มที่
ให้คิดอยู่เสมอว่า ให้เรียนรู้จากผู้ที่มาก่อน ทุกสิ่งอย่างมีช่องว่าง มีจุดอ่อน และมีโอกาสหากเราหาและทำมันจริงๆ
ให้เตือนตัวเองเสมอว่า เราไม่ใช่คนแรกที่คิดและทำ เราได้และมีทุกวันมานี้เพราะผู้ที่มาก่อนหน้าทำทางไว้ให้ ให้เครดิตท่านเหล่านั้นด้วย
ให้คิดอยู่เสมอว่า  สิ่งที่มีอยู่ก่อนนั้นไม่จำเป็นต้องดีและเหมาะสมตลอดกาล แต่สำคัญว่าสิ่งที่มีตามมานั้น ดีและมีประโยชน์กว่าสิ่งที่มีมาก่อนจริงๆหรือไม่
ให้คิดอยู่เสมอว่า คนอื่นจะพูดอย่างไรก็ได้เพื่อไม่ให้ทำ เพื่อไม่ให้เริ่ม แต่หากตัวเราจะทดลองทำใครก็ไม่สามารถห้ามเราได้
ให้คิดอยู่เสมอว่า ให้ร่วมมือกันทำ ให้ใช้ความสามารถของแต่ละคนที่สนใจในงานนั้นๆจริงๆ หากเค้าไม่อยากทำ อย่าไปบังคับให้ทำ
ให้หาแรงบันดาลใจที่จับต้องได้จริงๆ ในการทำงานนั้นๆให้ได้ก่อนที่จะเริ่มงานใดๆ หากไม่มีก็ทำให้มันมีเมื่อมันต้องทำ 


+++ชีวิต+++
ให้พยายามเป็นผู้ฟังที่ดีแล้วคิดตาม ลบอคติออกไป ไม่มีเขา ไม่มีเรา มีแต่ความจริงที่เที่ยงแท้เท่านั้นที่รอการค้นพบ
ให้ถ่อมตัวให้ต่ำเตี้ยที่สุด ไม่ว่าวันเวลาใดก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดๆก็ตาม หากอย่าลืมภูมิใจในสิ่งที่เราทำ
ให้เคารพในความเท่าเทียมกันของการเกิดมาเป็นคน เคารพในสิทธิ์ เคารพในความสามารถที่มีอยู่จริงๆ ไม่ใช่ฐานะหรือชาติตระกูล
ให้เกียรติทุกคนและห้ามสบประมาทใคร หากใครสบประมาทให้ถือว่าเป็นพลังผลักดันและขอบคุณเขาคนนั้นในใจ
ให้จำความรู้สึกที่เคยถูกคนสบประมาท ว่าฐานะครอบครัวอย่างนี้ ได้เท่านี้ก็มาไกลมากแล้ว เป็นแรงผลักดันต่อไป เส้นแบ่งคำปลอบใจกับคำสบประมาทบางครั้งก็คลุมเครือ
ให้จำไว้ว่า ต่อให้มีฐานะร่ำรวย เกียรติยศมากมายเพียงใด แต่ไม่ได้มีผลงานอะไรที่ใช้ได้ดีจริงๆ ก็ไม่คู่ควรกับการเกิดเป็นคน
ให้จำไว้ว่า หากจะมีอายุยืนยาว แต่ไม่ได้ทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงสังคมในจุดเล็กๆของเราจริงๆ ก็ขอให้มีอายุสั้นๆแล้วได้ทำอะไรจะดีเสียอีก
ให้จำไว้ว่า การให้โอกาศการศึกษา ให้ความรู้ที่มีประสิทธิภาพจริๆง คือ การให้ทานที่วิเศษที่สุด
ให้จำไว้ว่า ไม่ต้องคิดจะเป็นแบบอย่างหรือเป็นตัวอย่างให้ใคร หากเรายังทำไม่ได้ในเรื่องนั้น
ให้จำไว้ว่า ให้ทำในงานที่เราทำได้ก่อน พึ่งตนเองให้ได้ ยืนด้วยตัวเอง อย่าไปหวังพึ่งหรือรบกวนใคร เพราะเค้าก็มีสิ่งที่เค้าอยากทำอยู่เหมือนกัน
ให้รู้ตัวตลอดทุกวันเวลา ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เตือนตัวเองตลอด ว่าอยู่จุดไหนของเป้าหมายของงานและเป้าหมายของการเกิดเป็นคน
ให้จำและเตือนตัวเองเสมอว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อแข่งและเบียดเบียนใคร แต่หากเราเกิดมาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการเกิดเป็นคน
ให้ตั้งเป้าว่าจะไปให้ถึงยอด แล้วพยายามปีนป่ายให้เต็มกำลังและความสามารถ จะได้ไม่เสียใจแบบมีเงื่อนไขในวันข้างหน้า
ให้ลุกขึ้นให้ไว ในยามที่ล้ม แล้วมองเป้าหมาย แล้วเดินต่อไปอย่าหยุดหย่อน
ให้พยายามพัฒนาตนเอง พยายามตั้งเป้าหมายขึ้นมาใหม่ทุกครั้งที่ทำการใดๆสำเร็จ
ให้จำไว้ว่า หากหลงกับคำชม สรรเสริญเยินยอ จากใครก็ตาม ก็จะทำให้เราหยุดอยู่กับที่และถอยหลังลงคลองไปในที่สุด
ให้จำไว้ว่า หากใครชมให้ขอบคุณเค้า แล้วถ่อมตัวเราลงให้มาก แล้วชมกลับคืน แต่หากเค้าชมบ่อยมาก ให้ละเลยลมปากนั้นเสีย เพราะจะมันบ่อนทำลายการพัฒนา
ให้จำไว้ว่า อยู่ที่ไหน ก็ต้องทำให้สุดกำลังความสามารถ พัฒนางานของเรา พัฒนาคนของเราขึ้นมาให้ได้ตามแบบฉบับของเราเอง
ให้จำไว้ว่า ขยัน อดทน เรียนรู้ มาก่อนคำว่า ฉลาด  

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ประชุมวิจัยเรื่องน้ำๆของเมืองไทยที่เซนได ญี่ปุ่น (IMPAC-T)


ประชุมวิจัยเรื่องน้ำๆของเมืองไทยที่เซนได ญี่ปุ่น (IMPAC-T) 17.10.2013

ช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน2556 ผมต้องเดินทางไปเซนไดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น(Tohoku) หรือเรียกง่ายๆว่าแถบอีสานของญี่ปุ่น(ใกล้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะ) เพื่อเข้าประชุมกับนักวิจัย โปรเฟสเซอร์ ที่เป็นมืออาชีพเรื่องเกี่ยวกับน้ำทั้งหลายรูปแบบที่มีทั้งจากญี่ปุ่นและมาจากประเทศไทย โดยมีมาจากไทยร่วม50ชีวิตถือว่าเยอะมากๆในการพานักวิจัยมันสมองของประเทศมาประเทศญี่ปุ่นครานี้ การประชุมนี้ถือว่าเป็นการพลิกโฉมการช่วยเหลือประเทศไทยจากองค์กรของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ปรกติจะช่วยเหลือประเทศไทยในรูปของโครงสร้างพื้นฐาน หรือซื้ออุปกรณ์นู้นนี่นั่นให้เลย ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ประโยชน์ในระดับหนึ่ง แต่มันไม่ยั่งยืนในเรื่องของการพัฒนาและความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เพราะเหมือนกับไม่ได้สอนวิธีการหาปลา แต่เอาปลาให้กินเลย มันก็ได้แค่ช่วงแรกๆในตอนที่ยังไม่มีอะไรจะกิน แล้วความสัมพันธ์ก็ไม่ได้ถูกสานต่ออย่างมีประสิทธิภาพในเรื่องคนของทั้งสองประเทศ แต่บัดนี้ประเทศไทยก้าวไปอีกระดับหนึ่งแล้วซึ่งมีบุคลากรที่พร้อมจะเรียนรู้และรับความช่วยเหลือรูปแบบใหม่

ครานี้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ตั้งใจช่วยเหลือประเทศไทยผ่านทางโครงการ SATREPS ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก JST (Japan Science and Technology Agency) และ JICA (Japan International Cooperation Agency) โดยหนึ่งในโครงการนั้นมีโครงการที่เรียกว่า IMPAC-T (Integrated study on Hydro-Meteorological Prediction and Adaptation to Climate Change in Thailand) เป็นโครงการศึกษาคาดการณ์ด้านอุตุนิยมวิทยาอุทกวิทยาและการปรับตัวต่อภูมิอากาศเปลี่ยนในประเทศไทย โดยผู้เขียนโครงร่างขอทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นชื่อ Prof.Taikan Oki ศาสตราจารย์นักวิจัยผู้คร่ำหวอดในวงการเรื่องน้ำของโลกเพราะเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในรายงาน IPCC และท่านผู้นี้ก็ได้เคยทำการปั้นบุคลากรนักวิจัยทางด้านน้ำให้ญี่ปุ่นและหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยหลายท่าน ปัจจุบันลูกศิษย์ของท่านก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำทั้งในมหาลัยและหน่วยงานรัฐเอกชนที่เกี่ยวข้องให้กับประเทศไทย ถือว่าเป็นบุญของประเทศไทยที่ได้รับความรู้ในจุดนี้มาช่วยพัฒนาประเทศผ่านทางศาสตราจารย์ท่านนี้

โครงการ IMPAC-T นี้ได้สนับสนุนทุนให้กับนักวิจัย อาจารย์ นักวิชาการ ของประเทศไทย โดยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย(โดยมีม.เกษตรศาสตร์รับช่วยเหลือเป็นแม่งาน) องค์กรรัฐ ส่งนักวิจัยเข้าร่วม เพื่อทำวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องน้ำในหลากหลายมิติในประเทศไทย เช่น การจำลองน้ำท่วม การศึกษาการผันแปรของฝน การศึกษาเรื่องโลกร้อนและผลกระทบต่อประชาชน เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเรื่องน้ำ เป็นต้น หน่วยงานของรัฐหลักๆที่สนับสนุนข้อมูลในงานวิจัยก็คือ กรมชลประทาน กับ กรมอุตุนิยมวิทยา โดยเป็นการเรียนรู้ร่วมกันในคราวนี้คือ นักวิชาการในกรมจะต้องทำการวิจัยร่วมไปด้วยกับโปรเฟสเซอร์จากทางญี่ปุ่นที่จะคอยกำกับและให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ แน่นอนว่าในกรมกองนั้นมีนักวิชาการเก่งๆหลายท่าน(มีหลายท่านเป็นดร.ที่เก่งจริงๆ) นักวิชาการมักจะไม่เป็นข่าวและไม่ชอบประชาสัมพันธ์ เราๆท่านๆเลยมักไม่ค่อยรู้ แต่ท่านเหล่านี้เป็นผู้ขับเคลื่อนที่สำคัญส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศไทยนั่นคือ เป็นมันสมองของประเทศ

ส่วนอาจารย์ตามมหาลัย ก็ได้นำเสนอโครงร่างงานวิจัยต่อคณะนักวิจัยญี่ปุ่นที่มีโปรเฟสเซอร์เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง แล้วก็ได้ทุนมาทำวิจัย ซื้ออุปกรณ์ จ้างผู้ช่วยนักวิจัยซึ่งเป็นเด็กนักศึกษา และทางญี่ปุ่นยังสนับสนุนในการดูงาน อบรมที่ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากนั้นผลงานที่ทำเสร็จในแต่ละขั้น ก็จะต้องนำเสนอในรูปแบบการบรรยายหรือโปสเตอร์ ในงานประชุมวิชาการของแต่ละช่วงในรอบปี โครงการIMPAC-Tนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2010-2013 ดังนั้นนักวิจัยแต่ละท่านก็ได้นำเสนอผลงานไปแล้วหลายครา ทำให้ได้ประสบการณ์เต็มๆกันไป

สิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นตัววัดความสำเร็จของโครงการนี้ที่เป็นรูปธรรมคือ การตีพิมพ์ผลงานวิจัยในรูปแบบวารสารวิชาการ ซึ่งยุคปัจจุบันถือว่าเป็นตัวชี้วัดที่มาตรฐานมากที่สุดในแวดวงวิชาการ เป็นการนำองค์ความรู้ที่หามาได้มาจัดระเบียบและเผยแพร่แก่สาธารณชน ส่วนใครจะเอาไปประยุกต์ใช้อย่างไรก็ตามแต่กำลังต่อไป

ในมุมมองของผมต่อนักวิจัยไทยนั้นต้องยอมรับว่าเราห่างไกลมากๆในระดับความเป็นมืออาชีพของการวิจัยในระดับสากล เรามีดร.หลายท่านในโครงการแต่ผมก็ยังมองว่าเรายังเป็นเหมือนเด็กที่ทำวิจัยเป็นแต่ไม่เชี่ยวชาญและลึกเท่าเมื่อเทียบกับนักวิจัยญี่ปุ่นที่มีความเป็นมืออาชีพ บางท่านตีพิมพ์วารสารเป็นร้อยๆฉบับในวารสารที่น่าเชื่อถือ นักวิจัยของเราได้แค่สิบฉบับก็ถือว่าเก่งมากแล้วได้เป็นอย่างน้อยก็ รศ.ดร. แล้วที่สำคัญความสามัคคีช่วยเหลือ ร่วมกันเรียนรู้และโตไปด้วยกัน เป็นคุณสมบัติที่ทำให้งานวิจัยญี่ปุ่นก้าวไปได้เร็วและมีคุณภาพ

จะเห็นว่าโครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นและโอกาสอันดีของความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นกับไทยที่ได้เรียนรู้ร่วมกันหลายด้านไม่ได้แค่ด้านวิชาการเท่านั้น เป็นการช่วยเหลืออีกรูปแบบที่ไม่เน้นวัตถุแต่เน้นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศผู้รับทุน ซึ่งการให้วิทยาทานเป็นทานที่ประเสริฐที่สุด แล้วหวังว่าความร่วมมือในการศึกษาร่วมกันนี้จะถูกสานต่อในงานวิจัยวิชาการในอนาคตอันใกล้นี้ต่อไปอีก ประเทศร่วมจะได้เรียนรู้และพัฒนาไปอีกระดับ แล้วจะนำมาซึ่งความยั่งยืนของความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับไทย จงพยายามประคองและพัฒนาความสัมพันธ์อันดีนี้ให้คงอยู่ต่อไปเพื่อโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาของประเทศไทย อันจะกระจายความรู้เหล่านี้ไปสู่ลูกหลานของเราเพื่อการพัฒนาของประเทศให้เป็นประเทศที่เจริญแล้วในอนาคตอันใกล้นี้ ส่วนตัวผมก็เหมือนเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ประสีประสาอะไรจริงจังกับงานวิจัยด้านนี้เลย ต้องพัฒนาเรียนรู้ไปตลอดในสิ่งที่ชอบนี้จนกว่าจะหมดแรง

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อ่อนน้อมถ่อมตน



การอ่อนน้อมถ่อมตน 16.10.2013

การอ่อนน้อมถ่อมตนถือเป็นเอกลักษณ์ของวิถีไทยเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะกับผู้ใหญ่ คนวัยเดียวกัน หรือแม้กระทั่งเด็กกว่า ผมคิดว่าเราก็ควรต้องทำ และควรรักษาเอาไว้ต่อไป หากเอาสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้กับงานวิชาการก็อาจต้องมาปรับหน่อยว่าเราอยู่ที่ไหน “ when in Rome do as the romans do”  นั่นคือเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม

ผมเคยไปนำเสนองานวิจัยในเวทีต่างประเทศในเอเชียตะวันออก แล้วได้เจอพูดคุยกับนักวิจัยที่เก่งจากเอเชียมีทั้งญี่ปุ่น ไต้หวัน(แต่เป็นอเมริกัน) เกาหลี(แต่เป็นอเมริกัน) ผมก็ต้องเดินเข้าหาเข้าถามเพื่อขอความรู้และประสบการณ์ที่ท่านเหล่านั้น ในยามที่มีโอกาสเช่นตอนพักดื่มกาแฟ หากระหว่างการสนทนาเราหยิ่งพยองและอวดภูมิที่ไม่ได้มีการพิสูจน์จริงๆเช่นการตีพิมพ์ หรืออวดดีโอหังเกินไป มันจะทำให้เสียต่อตัวเองในโอกาสที่จะได้ความรู้จากท่านเหล่านั้น ยิ่งมาเจอกลุ่มนักวิจัยญี่ปุ่น ยิ่งต้องระวังในเรื่องการอ่อนน้อมถ่อมตน แต่หากเราอ่อนน้อมและถ่อมตนเกินไปอาจจะดูเหมือนว่าเราดูถูกและไม่มั่นใจตัวเอง ทำให้น่าสมเพชก็เป็นได้

ไม่ใช่ว่าการอ่อนน้อมจะเป็นเอกลักษณ์ของชาวตะวันออกอย่างเดียว ใช่ว่าตะวันตกจะไม่มี เพื่อนชาวเยอรมันบอกว่าไม่ค่อยชอบคนโน้นเพราะพูดมั่นใจเกินไปจนอวดดี แต่ก็เพื่อนอีกคนก็พูดว่านี่คุณอย่าพูดถ่อมตัวให้มากนักสิ อาจารย์โปรเฟสเซอร์ก็ไม่ชอบอะไรที่คุณมั่นใจจนเกินไปอาจต้องอธิบายกันยาวก็เป็นได้ เพราะความจริงมันมีหลายเหลี่ยมและหลายมุมมอง ฉะนั้นเข้าไปอยู่เมืองไหนหรือแถบนั้นก็ต้องปรับตามวัฒนธรรมด้วยแต่ก็ให้คงไว้ถึงการอ่อนน้อมถ่อมตน บอกตัวเองอยู่เสมอว่าเราไม่ใช่คนแรกที่รู้และสิ่งที่รู้อาจไม่จริงเสมอไป นั่นก็คือ ผมคิดว่าหากเรารู้อะไรก็พูดออกไปพอประมาณในสิ่งที่คิดว่าถูก ซึ่งสิ่งที่เรารู้อาจจะเป็นเพียงแค่ตาบอดคลำช้างจากส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น อาจจะมีอีกหลายส่วนที่เรายังไม่ได้คลำ ฉะนั้น อย่าอวดดีแม้จะมีดีให้อวดก็ตาม

หากเจอนักวิจัยไทยหรือผู้ที่แก่กว่าทั้งในด้านวิชาการหรืออายุก็ควรอ่อนน้อมเข้าไว้ การมีหางเสียง การไหว้ก็ควรต้องทำในโอกาสที่อันควรเพื่อดำรงวิถีแบบไทย เพื่อโอกาสในการขอความรู้และแลกเปลี่ยน ยิ่งในโลกปัจจุบัน บางครั้งอายุไม่ได้บ่งบอกว่าท่านผู้นั้นรู้ดีในเรื่องนั้นๆหรือไม่ เราไม่ควรใช้อายุมาเป็นตัววัด แต่ส่วนใหญ่คนที่มีอายุก็จะมีกำลังความสามารถและประสบการณ์ที่จะสามารถแลกเปลี่ยนให้เราโตขึ้นมาได้ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งเพราะท่านเห็นโลกมาเยอะ แต่กระนั้นการอ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพและให้เกียรติทุกคนทุกวัย แม้ว่าความคิดเห็นเค้าจะไม่ตรงกับที่เราคิดก็เป็นวิถีทางที่ดีในการติดต่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน