วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

ให้โอกาสคนคือทานที่วิเศษที่สุด



2015.03.22 (เกียวโต)
ให้โอกาสคนคือทานที่วิเศษที่สุด
บทความนี้ยาวมากกกกแต่ทุกคนจะได้เห็นมุมมองการศึกษาบ้านนอกจากมุมมองของผมซึ่งอาจถูกหรือผิดหรือก็แล้วแต่คนจะมอง ผมเขียนเพราะว่าเคยคุยกับน้องที่ห่างกันห้าหกปีที่เรียนในกทม.แล้วผมคิดว่าเค้าไม่เข้าใจเด็กนักเรียนบ้านนอกว่ะ มันต่างระดับกันเกินระหว่างกทม.กับโรงเรียนบ้านนอกอย่างผม ผมเคยอยู่ทั้งบ้านนอกต่างอำเภอ ตัวเมืองเชียงใหม่ กทม. สตุ๊ทการ์ทเยอรมัน ตัวเมืองพิษณุโลก เกียวโตญี่ปุ่น ผมก็เลยคิดว่าผมพอจะเข้าใจสภาพความต่างระดับของคุณภาพการศึกษาและโอกาสของเด็กบ้านนอกกับเด็กกทม.ในระดับหนึ่ง ผมอยากจะบอกย้ำกับเด็กกทม.เหมือนที่ใครหลายคนพูดว่า กทม.ไม่ใช่ประเทศไทย ประเทศไทยไม่ใช่กทม. ถ้าหากน้องๆเป็นเด็กที่เรียนในกทม.แต่ไม่เคยสัมผัสบ้านนอกจริงๆด้วยการไปใช้ชีวิตอยู่กินสักระยะ ไปเข้าใจคนบ้านนอก เข้าใจจิตใจ ชีวิตประจำวันเค้า การดำรงชีพ ปัญหา แล้วหากเวลาน้องๆไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วต้องแลกเปลี่ยนทัศนคติต่างชาวต่างชาติน้องจะรู้สึกว่าน้องไม่ใช่คนไทยหรือเปล่าเพราะน้องไม่เข้าใจคนไทยบ้านนอกที่เป็นคนส่วนใหญ่ที่อยู่ต่างอำเภอที่ไม่ใช่อำเภอเมืองของต่างจังหวัด น้องต้องออกตัวไปเลยว่าเป็นคนกทม.ไม่เข้าใจคนต่างจังหวัดของไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ อย่าไปอายว่าตัวเองไม่รู้ แต่จงยอมรับความจริงว่าไม่เข้าใจหากมีโอกาสจะไปเรียนรู้ว่ากันไป ผมพูดเยี่ยงนี้ เพื่อทำให้เด็กในกทม.พยายามเข้าใจปัญหาประเทศไทย เรื่องการกระจุกตัวทางด้านความเจริญ ซึ่งบ้านนอกเค้าไม่ได้รับ น้องๆจะได้เป็นผู้นำของชาติเราต่อไป น้องๆจึงต้องเข้าใจ มิฉนั้นชาติเราก็ยังไม่พัฒนาอย่างนี้ ไปพัฒนาแต่กทม.และปริมณฑล

 ผมเรียนมัธยมปลายช่วงปี 2539-2541 มีหลายๆคนเคยกล่าวว่าเกรดตอนเรียนมัธยมไม่ได้วัดความสามารถหรือความฉลาดทั้งหมดของคนคนนั้นได้ ไม่ได้วัดว่าเด็กคนนั้นจะไปได้ไกลหรือไม่ (ผมก็แอบดีใจและขอให้มันเป็นเรื่องจริงเพราะผมมันไม่ได้เรื่องในการเรียนมัธยมปลาย) ผมก็คิดว่าจริงบางส่วนจากประสพการณ์ของตัวเอง แต่ก็คิดว่าเกรดก็เป็นสิ่งบ่งบอกความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเด็กคนนั้นได้อย่างหาตัววัดตัวอื่นมาชี้วัดไม่ได้ณตอนนั้น ส่วนเรื่องการสอบเข้ามหาลัยหรือการสอบเข้าเรียนต่อมันก็อีกเรื่อง มันคือการเตรียมตัวกับเนื้อหาที่เค้าต้องการวัดและคัดคนเข้า มันคือพร้อมไม่พร้อมในการสอบ คนเกรดสูงอาจสอบไม่ติดที่ตัวเองต้องการเพราะยังไม่พร้อมในข้อสอบเข้าเรียนต่อ แต่เค้าแสดงให้เห็นว่ามีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การเรียนของเค้าสูง แล้วผมยอมรับนับถือเด็กที่เรียนดีในด้านนี้ แต่ก็ไม่ได้ตอบโจทย์ว่าเด็กคนนั้นฉลาดหรือไม่ฉลาดกว่าคนทั่วไปหรือไม่ แล้วเด็กที่ฉลาดแต่ไม่ขยันอ่านหรือขยันทำก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จกับไม่สำเร็จ ฉนั้นผมไม่ได้ให้ความนับถือคนที่ความฉลาดอย่างเดียว หากแต่ต้องมีความรับผิดชอบ ความสม่ำเสมอ ขยัน มุ่งมั่น อยากรู้อยากเห็ฯ และผมเชื่อว่าจะเป็นคนฉลาดที่จะรู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไรไม่ควรทำอะไร

ทำไมผมถึงกล้าพูด เพราะมันมาจากประสพการณ์จริงของผมล้วนๆเลยช่วงปี2539-41 ผมเรียนสายวิทย์ม.ปลาย ณ ที่อำเภองาว จ.ลำปาง โรงเรียนประจำอำเภอ ผมเป็นเด็กที่มีผลการเรียนปานกลางถึงแย่มากๆ เกรดเฉลี่ยตอนจบม.ปลายของผมสองนิดๆเลย ผมอยู่กลางๆค่อนไปทางล่างๆเลยของห้องวิทย์ หากผู้ให้ทุนเรียนโทและเอกของรัฐบาลเยอรมันกับรัฐบาลญี่ปุ่นพิจารณาจากผลการเรียนม.ปลายผม ผมคงไม่ได้มีโอกาสเรียนต่อต่างประเทศแล้วละ ตอนมัธยมปลายนั้นผมคิดว่าสมองผมคงมีปัญหาในด้านการเรียนแน่ๆ 555 แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสจริงจังอะไรกับการเรียน ผมเป็นเด็กที่แปลก บทจะนิ่งก็นิ่งไม่มีปัญหากับใคร บทจะมีปัญหากับใครก็มีเลย เอาอารมณ์เป็นที่ตั้งในตอนนั้น แต่ในสายตาอาจารย์ผมก็ยังเป็นเด็กที่จัดว่าปานกลาง ไม่ชอบมีปัญหากับใคร ไม่เกเรหาเรื่องใคร แต่โดยส่วนตัวหากโดนใครหาเรื่องผมจะไม่ยอม ณ ตอนนั้นนะ แต่ตอนนี้ก็อุเบกขา วางเฉยซะ บอกตัวเองเราไม่อยากเป็นคนพาล หรือบอกตัวเองว่าเราเป็นคนพาลไม่ได้ แต่หากจวนตัว เช่นมีโจรจะมาทำร้ายเรา ครอบครัว คนรอบข้างเรา อันนี้เฉยไม่ได้แล้ว หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อยู่ใกล้ๆ ต้องช่วยตัวเองแล้วละ ผมต้องทำอะไรสักอย่างแล้วละเพื่อปกป้องชีวิตร่างกายของคนรอบข้างและตัวเอง

ตอนมัธยมผมเอาเวลาหลังเลือกเรียนไปเล่นแต่กีฬา เล่นบาสมั่ง วิ่งบ้าง ชกมวยบ้าง ผมชกมาแต่เด็กเอาไว้ออกกำลังกายกับพี่ชายและเพื่อน พ่อผมซื้อนวม เฮดการ์ด ที่ล่อเป้า กระสอบทรายให้ แต่ไม่เคยขึ้นชกจริงๆ เพราะไม่คิดจะเอาดีด้านนี้ ขอเล่าก่อนว่าเด็กบ้านนอกส่วนใหญ่จะต้องชกเป็น ไม่งั้นจะโดนรังแกโดยเฉพาะผมเป็นคนตัวเล็กมีแต่คนอยากลองของ บ้างก็ได้ของผมไป555 แต่บางครั้งผมก็ได้ของเค้ามาแลกเปลี่ยนประสพการณ์กันตามประสาเด็กบ้านนอก 555 แล้วพ่อกับอาผมเป็นนักมวยไทยท้องถิ่น เลยชอบแหย่ผมเล่นชกมวย แต่ผมไม่เคยไปหาเรื่องใครก่อนนะ ขณะที่เพื่อนๆเด็กเรียนดีทั้งหลายจะใช้เวลาหลังเลือกเรียนไปเรียนพิเศษ คือผมต้องยอมรับว่าเพื่อนกลุ่มเหล่านั้นเป็นเด็กดีจริงๆ รู้หน้าที่ของตัวเอง อาจจะเป็นเพราะพวกเพื่อนผมเค้ามีแรงกดดันและผลักดันที่มากจากความลำบากที่คิดว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นชาวนาเลยต้องการหลุดพ้นด้วยการศึกษาซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องมากๆ ส่วนผมกลับบ้านสองทุ่ม สามทุ่ม เพราะผมใช้เวลาในการเล่นพิเศษ 555 (ไม่ได้เรื่องเลยตัวผมไร้อนาคตสิ้นดีตอนนั้น) บ้านผมอยู่หน้าโรงเรียนเลยไม่มีปัญหาการเดินทาง 555 กลับไปก็ทานข้าวเย็นเอง พ่อแม่เตรียมไว้ให้ ถือว่าผมเป็นเด็กเลวในด้านการรับผิดชอบต่อหน้าที่การเรียน แต่เป็นเด็กดีที่ในด้านการรับผิดชอบต่อการเล่น 555 แต่พอโตมา ณ ตอนนี้ ผมพยายามอธิบายว่า(หรือแก้ตัววะ) ที่ผมไม่ตั้งใจเรียนเพราะผมไม่มีแรงจูงใจ ผมไม่มีแรงกดดันหรือแรงผลักด้านการเรียนเลย ผมไม่เห็นอะไรเลยในบ้านนอก ผมไม่มีบรรยากาศการแข่งขันเลย ผมไม่มีความฝันเลยเพราะไม่เคยมีอะไรให้ชวนฝันในบ้านนอกของผม ผมไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้อะไรเลย ซึ่งแย่มากๆในภาวะอย่างนั้น และเชื่อว่าสังคมไทยบ้านนอกก็คงมีหลายคนที่เป็นเช่นนั้น ซึ่งเป็นภาวะที่แย่มากๆหากยังไม่รีบแก้ไขกัน ประเทศจะพัฒนาไม่ได้หากต้องพึ่งแต่เด็กในเมือง เป็นภาวะพึ่งพิงสูงเกินไป เสียดายทรัพยากรมนุษย์แทนที่จะพัฒนาเอามาใช้ประโยชน์ต่อประเทศได้ ส่วนหนึ่งผมขอรับเองเต็มๆโดยไม่ขอปฎิเสธ 555 อีกส่วนหนึ่งผมโยนไปให้ผู้บริหารประเทศที่ไม่เห็นความสำคัญที่จริงจังในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพียงแต่อยากได้ผลงานระยะสั้นให้พอได้คะแนนเสียง

มันมีเหตุการณ์พลิกผันในชีวิตผม คือ ผมโดนท่านแม่ผมด่าว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก ตอนที่ผมไปบอกว่าผมสอบกลางภาควิชาหนึ่งได้ต่ำกว่าครึ่งตอนม.6 ผมสะอึกเลย (คนส่วนใหญ่ก็ได้พอๆผมนะ) พ่อผมเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย มีลูกเยอะ แม่ผมเป็นช่างตัดเย็บผ้าที่ผมภูมิใจกับทักษะอาชีพของแม่ผมมาก ณ ตอนนั้นผมก็คิดได้ว่าผมต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อต่อไปผมจะได้เลี้ยงตัวเองได้และจะได้ดูแลท่านตอนที่ท่านแก่ (ตอนนั้นคิดอย่างนี้จิงๆให้ตายเถอะโรบิ้น) ตอนนั้นเป็นช่วงใกล้ปิดเทอมม.6 เทอมหนึ่ง ซึ่งอีกไม่ถึงสี่เดือนจะสอบโควต้าม.เชียงใหม่แล้ว และผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะทำได้เพราะไม่เคยอ่านหนังสือเหมือนเด็กเรียนดีทั่วไปเลย ผมขี้เกียจตัวเป็นขนในด้านการเรียน แต่ขยันและชอบเล่นกีฬาชนิดว่าได้เกรดเอบวกเลย 555 ชอบอะไรที่ไม่เกี่ยวกับเรียนเลย มีงานเทศกาลก็ไประเริงระรื่นตามบ้านเพื่อนบ้าง แต่ผมอยากทำตามความตั้งใจที่ผมได้พูดไว้ข้างตน ผมเลยหักดิบคือเลิกทุกอย่าง ผมก็เลยเริ่มมุมานะอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ นอนตอนสองทุ่ม เลิกกิจกรรมทุกประเภท ตื่นตีสี่ทุกวัน อ่านจนถึงเจ็ดโมงเช้า ไปเรียนแปดโมง ไปสายด้วยแม้ว่าจะเดินไปเรียนแค่ 1 นาที แล้วผ่านมาได้สักสองเดือนมีสอบพรีเอนทรานซ์ผมก็ลองดู แล้วพบว่าตัวเองพอทำได้ แต่ยังไม่ดี ไม่น่าจะติดมหาลัย เรารู้ตัวสายไปแล้วหรือเปล่า (มาตอนนี้ไม่มีอะไรว่าสายเกินไปหากคิดที่จะเริ่มต้น)

แต่แล้วโอกาสสำคัญจุดเปลี่ยนในชีวิตผมก็มาถึงอีกครั้งหนึ่งคือ อาจารย์ภาควิชาอังกฤษท่านหนึ่งชื่ออ.ธนิตา สูงติวงศ์ (จบจากม.เชียงใหม่ซึ่งเป็นอาจารย์ส่วนน้อยที่จบมหาลัยจริงๆที่มาสอนอยู่รอบนอก ดูซิว่าคุณภาพการศึกษาบ้านเราเป็นอย่างไร อยากให้เด็กเข้ามหาลัยแต่จำนวนอาจารย์ที่จบจากมหาลัยที่เคยมีประสบการณ์ตรงมีน้อยมาก ไว้คุยกันต่อเรื่องนี้โอกาสหน้า ไม่ใช่ว่าอาจารย์ท่านที่จบจากที่อื่นจะไม่ดีนะครับ ผมเป็นลูกศิษย์ท่านเหล่านั้นแต่ลองเทียบกับโรงเรียนในตัวจังหวัดสิอะไรคือต้นเหตุ คุณภาพของพ่อแม่พิมพ์ใช่ไหม) อยากจะส่งนักเรียนเข้าร่วมสอบแข่งขันภาษาอังกฤษที่ตัวจังหวัดลำปาง ห่างไกลจากอำเภองาวที่ผมอยู่ 2 ชั่วโมงด้วยรถโดยสารสองแถว ตอนนั้นทางมันคดเคี้ยวอยู่ไม่เหมือนปัจจุบัน โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบภาษาอังกฤษ แต่คะแนนสอบไม่เคยได้สี่เลย ผมโชคดีมากๆที่ได้นั่งใกล้เพื่อนคนหนึ่งที่เก่งภาษาอังกฤษขั้นเทพของห้องคือ เทวินทร์ ป้องศรี ผมก็พยายามเรียนรู้จากเค้า อาจารย์อยากได้ตัวแทนไปแข่งแปดคนนี่แหละ แล้วพอดีมันเหลือ 1 ที่นั่งที่จะต้องไปแข่งครอสเวิร์ดร่วมกับเพื่อนที่ชื่อนงลักษณ์ แก้วทอง อาจารย์อยากให้เทวินทร์(ต่อมาคนนี้เค้าสอบติดวนศาสตร์ม.เกษตร)เค้าไปแข่งตัวนี้ด้วย แต่เผอิญเทวินทร์เค้าแข่งคู่กับเพื่อนอีกรายการแล้ว แล้วเค้าก็คงอยากให้คนอื่นได้ไปมั่ง (เพื่อนคนนี้วิเศษสุดจริงๆ) เค้าเลยเสนอชื่อผมต่อหน้าชั้นบอกว่าให้นัฐพลไปแข่งสิ ซึ่งปกติเค้าเป็นบุคคลที่พูดน้อยมากๆ เพื่อนทุกคนในห้องอึ้งเลย ผมก็อึ้ง ว่าเฮ้ยคนที่เก่งๆเหมาะสมกว่าผมมีอีกเยอะ ไหงนายเสนอเราวะ ผมมันแค่ปลายแถวของห้อง เอาไปเป็นตัวถ่วงทำไม แต่เทวินทร์เค้าคงเห็นแล้วว่าผมกำลังพยายามแล้วพอจะมีศัพท์ในหัวเยอะระดับหนึ่งแล้ว แต่ผมก็ไม่คิดว่าอาจารย์จะเอาผมติดไปด้วย หากแต่อาจารย์ธนิตากลับพูดว่าโอเคลองดู ผมนี่อึ้งเลย!!! แต่ในเมื่ออาจารย์ไว้ใจผมและให้โอกาศผมเป็นตัวแทน พร้อมกับมอบหมายภาระกิจความรับผิดชอบให้ผมแล้ว แล้วเพื่อนที่เก่งไว้ใจผม ผมต้องทำให้ได้ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเด็กในตัวลำปางเค้าเก่งภาษามากมาย มีทั้งบุญวาทย์ ลําปางกัลยาณี อัสสัมชัญลำปาง ผมก็เตรียมตัวไป วันสอบพวกเรานั่งสองแถวไปสองชั่วโมงลุยหมอกฤดูหนาวไปตามประสาบ้านนอกเรียบเลาะป่าสักและภูเขาหินปูนไต่ไปตามไหลเขา พวกเราตื่นแต่เช้ามืด กว่าจะไปถึงตัวลำปางก็แปดโมงกว่า ที่โรงเรียนลําปางกัลยาณี

เพื่อนๆก็เริ่มแยกย้ายกันไปแข่ง ผมกับนงลักษณ์ แก้วทอง(คนนี้เค้าสอบติดพยาบาลเชียงใหม่ถือว่าเก่งมากแล้วในระดับประวัติศาสตร์อำเภอบ้านเรา)จับคู่กัน โดยผมก็คิดว่านงลักษณ์คงไม่ค่อยมั่นใจผมเท่าไหร่ว่าจะช่วยเค้าได้ ไอ้ตัวผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าผมจะช่วยเค้าได้ ผมจะเป็นตัวถ่วงเค้าหรือเปล่า เพราะผมก็ไม่เคยแข่งขันวิชาการเลย เคยแต่แข่งกีฬา 555 แล้วเวลาก็ใกล้จะหมดแล้ว มันมีข้อหนึ่งที่จะต้องตอบว่า Satellite ซึ่งแปลว่าดาวเทียม (ไอ้คำนี้มันก็ผูกพันกับผมมาจนถึงวันนี้ ผมเลยชอบคำนี้มากๆเพราะมันสำคัญกับชีวิตผมมากมายด้านการเรียนการวิจัย) คำนี้ผมบอกนงลักษณ์ว่าเราต้องเติมในช่องนี้นะ สงสัยสิ่งศักดิ์ดลใจให้ผมบอกกับนงลักษณ์ เป็นคำสุดท้ายที่พวกเราช่วยกันเติม ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูก พอแข่งเสร็จอ.ธนิตา มาบอกกับเราว่า พวกเราได้รางวัลที่สามของจังหวัด แล้วท่านอ.ธนิตาจับมือนงลักษณ์กับผมเพื่อแสดงความยินดี ผมนี่จำวินาทีนั้นได้ดีมากๆในชีวิตผม เพราะผมไม่เคยจับมือกับอาจารย์เลย แล้ววัฒนธรรมไทยบ้านนอกอย่างเราก็ไม่เคยมีการจับมือกับผู้ใหญ่ การที่ผู้ใหญ่จับมือกับเด็ก มันเลยรู้สึกแปลกๆโดยเฉพาะกับอาจารย์ผู้หญิงด้วย มันเหมือนท่านให้เกียรติเรามากๆ ผมนี่หัวใจพองโตเลย แต่อ.ธนิตาคงอยากสอนวัฒนธรรมตะวันตกเพราะนี่เฮ้ยพวกเอ็งนี่เรามาแข่งขันภาษาอังกฤษกันอยู่นะ รู้เลยนับแต่นั้นมาว่าตัวเองก็มีคุณค่านะในเรื่องวิชาการ (เด็กวัยรุ่นต้องการการยอมรับ เพิ่งมารู้ตอนโต) ตัวเองไม่ได้โง่นะ สมองตัวเองปกติดีทั่วไปนะ555 หากขยันแบบบ้าๆเราก็มีทางรอดที่จะสู้นะ ผมเริ่มมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้นว่าเราน่าจะทำการเรียนได้ดีขึ้น (สายไปไหม!) เราเดินทางกลับโรงเรียนพร้อมกับกวาดมาได้หลายรางวัล เพื่อนผมบางคู่ได้ชนะเลิศ หรือรองชนะเลิศมา ซึ่งแปลกประหลาดมากที่พวกเราได้ เราชนะเด็กในเมืองได้ แต่จะอย่างไรก็แล้วแต่พวกเราได้รับใบประกาศนียบัตรหน้าเสาธง (เป็นสิ่งที่ดีมากต่อผู้ได้รับ ผู้ให้ และเพื่อนกับเด็กรุ่นน้องจะได้เป็นแรงบันดาลใจในปีต่อไป) เพื่อนและน้องๆหลายคนอาจจะคิดว่านัฐพลคงเกาะนงลักษณ์แล้วพลอยได้รับรางวัล ผมยังคิดเลย 555 แต่ความจริงก็คงไม่ต่างกับที่เค้าคิดหรือเปล่าผมจำไม่ได้เพราะนงลักษณ์เค้าก็เก่งภาษาอังกฤษกว่าผมอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็รับใบประกาศมอบโดยอาจารย์ใหญ่ ผมนี่ปลื้มมากมาย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเคยโดนเรียกหน้าเสาธงตอนมีเรื่องชกต่อยกัน ผมนี่แหละ ห้องวิทย์กับห้องช่าง เค้าหาเรื่องผมก่อนแต่ผมก็เป็นคนสู้คนซะด้วย โฮโมนวัยรุ่นของผมมันบอกยอมความไม่ได้ (ผมไม่รู้สึกผิด เพราะคิดว่าหากใครเอาเปรียบก็พร้อมลุยในตอนนั้น ซึ่งในตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว แต่ผมก็สู้คนเสมอ) แต่พอผมได้รางวัล โอ้โห้ โลกทั้งใบเปลี่ยนไป จิตใต้สำนึกตอนเป็นเด็กของผมบอกว่าผมอยากได้รับการยอมรับ คุณค่าในตัวเองมันมาทันที(วัยรุ่นอ่ะนะ) ผมภูมิใจในตัวเอง ผมบอกพ่อแม่ ท่านก็ภูมิใจ ยิ้มเล็กๆแต่ผมก็รู้ว่าท่านภูมิใจมากมาย ผมเลยมีแรงฮึด ฮึกเหิม ที่จะสู้ แต่จะสู้ทางสายวิชาการ ด้วยการสอบให้ผ่านโควต้าเข้ามช.ให้ได้ อาจจะโหมมากเกินไปจนใกล้สอบผมล้มป่วยด้วยไข้หวัด แต่ก็ดันทุรังไปสอบจนได้

ตอนนั้นอินเตอร์เนตกำลังเข้ามาปี 2541 ในขณะที่เด็กในกทม. ในตัวจังหวัด เค้ามีคอมพิวเตอร์ประจำบ้านแล้ว เค้าเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กันแล้วตอนเรียนอยู่ม.ปลาย พวกเราเด็กในหุบเขายังไม่รู้ว่าเปิดปิดคอมพ์เปิดตรงไหน เม้าส์คลิ๊กกันยังไงจะเลือก ก๊อปปี้ ยังไม่เคยเล่นเลยจริงจังเลย ผมต้องไปเปิดดูผลสอบที่บ้านพี่ที่เล่นบาสด้วยกัน ผลปรากฎว่าผมสอบติดมช. ผมติดภูมิศาสตร์ม.เชียงใหม่ ผมดีใจมากพ่อแม่ผมท่านก็ดีใจและภูมิใจกับผมมาก ท่านพ่อมาลูบหัวผมแล้วบอกว่าเก่งมากลูก พ่อไม่เคยทำซึ้งกับลูกเลยในชีวิตเท่าที่ผมจำได้ ผมก็เลยคิดว่าไอ้สิ่งนี้ อารมณ์แบบนี้แหละที่ผมอยากได้ เพื่อนๆผมเด็กที่เรียนดีก็ติดกันครับ ปีนั้นพวกเราติด 6 คน พวกเราติดเทคนิคการแพทย์ พยาบาล ครูคณิต ภูมิศาสตร์ ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์ของอำเภองาวเลย มันอาจเทียบไม่ได้เลยกับโรงเรียนในตัวเมืองในด้านคุณภาพและปริมาณเพราะปัจจัยมันต่างกัน แต่ก็ไม่แน่นะครับผมมาคิดอีกที 6 คนที่ติดมช.นี้ปัจจุบันคนที่ติดเทคนิคการแพทย์จบเอกจากมช.ด้วยทุนกาญจนาภิเษกแล้วไปต่อหลังปริญญาเอกที่มิชิแกนสองปีแล้วกลับมาเป็นอาจารย์มหิดล ส่วนคนที่ติดภูมิศาสตร์(ไอ้ผมนี่แหละ)ได้ทุนรัฐบาลเยอรมันไปเรียนป.โทและทุนรัฐบาลญี่ปุ่นไปเรียนป.เอกแล้วก็เป็นอาจารย์ม.นเรศวร ส่วนคนที่จบพยาบาลคนนึงก็ไปเป็นอาจารย์ม.พะเยา ส่วนที่เหลือก็เติบโตในสายงานด้วยวุฒิปริญญาโท แต่ก็ยังมีเพื่อนที่ติดเอนทรานซ์เป็นพยาบาล ผช.เภสัจ วนศาสตร์ ครูคณิต เคมีพสวท. เคมี วิทยาศาสตร์ อีกหลายคนและกำลังรับใช้ชาติอยู่ทุกคน ซึ่งผมถือว่าถือเป็นความสำเร็จที่สูงมากหากเทียบว่าอำเภอนี้มีมีห้องวิทย์คณิตห้องเดียวแต่เด็กมีหนทางไปได้ ส่วนหนึ่งมากๆเลยต้องยกคุณงามความดีความทุ่มเทของอาจารย์นิพันธ์ เพิ่มสมัคร (จบม.ช.คณิตศาสตร์)ที่ฟูมฟักเด็กเหล่านี้มาตั้งแต่มัธยมต้น อาจารย์ท่านรู้ว่าเด็กเรียนดีเกรดดีแต่ก็อาจไม่ติดมหาลัยถ้าไม่ได้รับการติวข้อสอบที่ดี อาจารย์รู้ว่าเนื้อหาที่เรียนของกระทรวงนั้นไม่ได้ช่วยให้เด็กสอบติดมหาลัยหากเด็กไม่พร้อมกับข้อสอบ อาจารย์เลยจัดติวให้เด็กๆเริ่มจากคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานแล้วรวบรวมอาจารย์ท่านอื่นในสายวิทย์มาช่วยแต่ละวิชา ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าหากไม่มีการจัดติวอย่างเป็นระบบไม่มีทางที่เด็กบ้านนอกจากอำเภองาวจะสอบติดมหาลัยหรือมีที่เรียนต่อดีๆเทียมหน้าเทียมตาเด็กอำเภออื่น เพราะเด็กอำเภองาวไปติวในตัวจังหวัดไม่ได้ มันห่างไกลกัน 80กิโลเมตร เป็นทางเขาไปยังไงละ แต่ขอเล่านิดหนึ่งนะครับ ผมเคยไปเจออาจารย์ครั้งนึงเมื่อหกปีที่แล้ว อาจารย์พูดเหมือนท้อแท้ว่า ตอนนี้ไม่ได้ดูแลและปั้นเด็กให้สอบติดมหาลัยอีกละ เพราะเหมือนกับช่วยคนส่วนน้อยอะไรประมาณนี้ แต่ผมคิดว่าอาจารย์พูดไปงั้นแหละจริงๆแล้วอาจารย์รู้และติดตามความก้าวหน้าของลูกศิษย์ตลอด แล้วก็รู้ด้วยว่าลูกศิษย์กำลังทำคุณงามความดีให้ต่อประเทศชาติอยู่ ตอนนี้ท่านมาช่วยเรื่องการท่องเที่ยวของเมืองงาวโดยเชื่อว่าจะช่วยนำรายได้มาให้กับคนหมู่ใหญ่ ซึ่งผมก็เห็นด้วย หากอยากจะบอกกับอาจารย์และคนทั่วไปว่า อาจารย์นิพันธ์และครอบครัวของท่าน สร้างคุณประโยชน์ให้กับชาติอันหลวงนับมูลค่าไม่ได้นะครับ มีลูกศิษย์ของอาจารย์หลายคนเป็นครูบาอาจารย์ทั้งมหาลัย โรงเรียน ทำงานด้านการแพทย์ สาธารณสุข ทำงานหน่วยงานรัฐและเอกชน มันไม่ใช่รุ่นผมรุ่นเดียวท่านฟูมฟักปั้นลูกหลานคนงาวสายวิทย์สามสิบกว่าปี พูดง่ายๆนี่คือคลังปัญญาของเมืองงาว แล้วนี่คือส่วนหนึ่งของคลังปัญญาของรากหญ้าที่มีต่อประเทศไทย หากไม่มีท่านและครอบครัวประเทศไทยก็คงจะเดินช้าลงไปอีกหลายก้าว ประเทศไทยไม่ใช่ตัวจังหวัด ประเทศไทยไม่ใช่กทม. ทุกพื้นที่คือประเทศไทย ใครช่วยอะไรได้ ก็ต้องช่วยกันพัฒนา แต่อย่าลืมบ้านนอก หรืออำเภอที่ห่างไกลจากตัวจังหวัด มาตรฐานการศึกษามันก้าวไม่ทันกัน

อยากจะบอกว่าเพื่อนผมห้าคนคือตัวเก็งที่จะติดมหาลัยที่เป็นเด็กเรียนดีจริงๆ เป็นลูกชาวไร่ชาวนาชาวสวนที่ถือว่ายากจน แต่ผมคือม้ามืดในสายตาของคนอื่นเป็นลูกข้าราชการชั้นผู้น้อยคนเดียวซึ่งชาวบ้านบอกว่ามีฐานะ(แต่ผมบอกว่ามีหนี้ต่างหาก จนก็จน ขี้เกียจ ไม่มีแรงผลักดันด้วยเพราะมีกินจากเงินกู้ของข้าราชการ) แต่ผมบอกตัวเองเลยว่าใครจะว่าผมม้ามืด แต่ผมเตรียมตัวนะโว้ย ผมไม่ได้ละเมอเดินทางไปสอบโดยที่ไม่มีอะไรในสมองนะโว้ย ผมรู้ว่ายังไงผมก็น่าจะติดสักอันดับที่เลือกไป เพราะผมเช็กคะแนนตลอดตอนทำแนวข้อสอบ ผมบอกตัวเองจงภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองได้พยายามแม้จะมาทำเอาตอนเกือบจะสาย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย รอวันตายผมไม่ชอบ เพราะผมไม่ใช่คนรอวันตาย ผมคือนักสู้ ถ้าผมตัดสินใจจะสู้หรือแข่งอะไรผมจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ผมต้องวางแผนซ้อมให้เพียงพอหรือระดับหนึ่งก่อนทำการแข่ง แม้จะรู้ว่าไม่มีทางสู้แต่ก็ต้องสู้ แม้ว่าจะตายแต่ก็ขอให้ได้สู้ก่อนตาย หากเป็นนักรบก่อนตายก็ขอให้ได้จัดการศัตรูสักคนสองคนก่อนก่อนที่มันจะมาเอาชีวิตเรา เหมือนพวกทหาร Gurkhaที่อยู่ตีนเขาหิมาลัยพูดไว้ นี่คือตัวผม แล้วผมก็จดจำทุกเหตุการณ์ที่พาผมมาจนถึงวันนี้ วันที่ผมได้รับปริญญาเอกด้านบรรยากาศวิทยา จากคณะวิทยาศาสตร์ ม.เกียวโต ใบปริญญานี้ผมมอบให้พ่อแม่ผมแม้ว่าพ่อจะไม่อยู่กับผมแล้ว ผมจดจำทุกๆคนที่อยู่รอบข้างผม ผมจดจำคุณครูบาอาจารย์ทุกๆท่านที่ให้โอกาสผมคนนี้ แล้วผมก็จะทำตัวเป็นคนที่พร้อมจะให้โอกาสกับเด็กทุกๆคนเหมือนที่ผมเคยได้รับจากท่านอาจารย์ธนิตา และอาจารย์ท่านอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวมา หากแต่เด็กคนนั้นจะต้องแสดงอะไรบางอย่างที่เป็นสัญญานว่าพร้อมจะสู้ร่วมกัน แล้วผมจะจับมือเด็กๆร่วมกันสู้เพื่อเก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์อันล้ำค่าที่ไม่อาจย้อนเวลากลับเพื่อติดตัวเด็กพวกนั้นตลอดไป เพื่อจะได้ส่งต่อผ่านรุ่นต่อรุ่น

นี่คือสิ่งที่ผมจะต้องทำเพื่อตอบแทนสิ่งที่ผมได้รับจากคนรุ่นก่อน เรื่องราวผมพวกนี้ที่ม.ช.ตอนป.ตรีไม่มีใครทราบเลย ว่าภูมิหลังผมเป็นไง อาจเป็นเพราะหลายๆคนก็พอตัวกัน 555 ไม่ขนาดนั้นครับเด็กดีตั้งใจเรียนก็มีเยอะครับ เด็กเก่งในเมืองตัวจังหวัดเยอะมาก อาจเพราะผมสนใจการเรียนมากไป จนทำให้ผมขยันเรียนอยู่บ้างจนได้เกียรตินิยมเลย อาจเพราะผมประทับใจในตัวท่านอาจารย์ที่มช. ผมอยากเป็นอย่างกับอาจารย์ภูมิศาสตร์มช. ผมอยากไปเรียนต่อต่างประเทศให้ได้เหมือนกันกับที่อาจารย์แต่ละท่านเคยไป เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ต่างประเทศ ผมประหลาดใจและประทับใจว่าภูมิศาสตร์ที่เชียงใหม่หรือภูมิศาสตร์มันเป็นวิทยาศาสตร์หรือเนี่ย อาจารย์แต่ละท่านก็เรียนสายวิทย์คณิตมา เหมือนกันกับผม ฉนั้นผมต้องไปได้เพราะมีโมเดลแล้ว ผมอยากเปิดโลกกว้าง แล้วผมก็มาถึงจุดที่ผมไม่คิดว่าจะมาถึงของเด็กบ้านนอกคอกนาด้วยความพยายาม อดทน เรียนรู้ มุ่งมั่น ตั้งใจ ความฉลาดมันเป็นแค่ส่วนประกอบ มันสร้างกันได้หากผ่านพบประสพการณ์ แต่ผมไม่พูดถึงพวกจีเนียส พวกนั้นคือพวกที่โลกจำเป็นต้องมีและต้องดูแลพวกเขาให้ดี แต่ผมเป็นพวกทั่วไปที่อยากทำตัวให้ดีในด้านวิชาการก็เท่านั้น

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

ผมทำได้แล้ว ปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์จากญี่ปุ่น



2015.03.10

Finally, ผมทำได้ ผมทำได้แล้ว ปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์จากญี่ปุ่นใบนี้ ใบที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะคว้ามันมาได้ ย้อนไป ณ วันนี้เมื่อปีที่แล้ว ทุกอย่างสับสนไปหมด อาจารย์ที่ปรึกษาเสีย เคว้งคว้างไปหมด ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นไม่เหมือนทุนอื่น อาจารย์เป็นผู้ดึงทุนแล้วคัดเด็กมาทำงาน คล้ายๆงานหลังปริญญาเอกคือทำตามแนวทางที่อาจารย์ขอทุนไป ฉนั้นอาจารย์เสียระหว่างที่เรียนอยู่ ถือว่าเป็นโครตหายนะของเด็กคนนั้นจริงๆ หากไม่ได้บุญที่อาจารย์ทำไว้ดีกับทุกคนแล้ว ผมคงได้กลับบ้านมือเปล่าหลังจากเรียนมาสามปีกว่า ผมได้รับความเมตตาจากโปรเฟสเซอร์ทุกท่าน โปรฮายาชิ โปรชิเกะ โปรโยเดน ผมเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกแล้ว หากเป็นที่เมืองไทย ผมไม่แน่ใจว่าเด็กคนนั้นเค้าจะเรียนจบไหมหากอาจารย์เค้าเสีย ใครจะเชื่อว่าเด็กภูมิศาสตร์บ้าๆคนนี้จะเรียนจบป.เอกคณะวิทยาศาสตร์ ม.เกียวโต ด้านบรรยากาศวิทยา

แต่ก็มีเรื่องดีก็คือการที่มีเด็กน้อยได้ลืมตามาดูโลกหลังจากได้ส่งดราฟท์ทีสีสไปให้อาจารย์ก่อนส่งตัวจริงหนึ่งเดือน ณ วันนี้เด็กน้อยครบสี่เดือนแล้ว แข็งแรงแจ่มใสร่าเริง กลับไปพักผ่อนกับแม่ที่เมืองไทย ส่วนผมก็ยังเคลียร์งานวิจัยเตรียมส่งตีพิมพ์อีกสองฉบับ ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อ งานสองฉบับนี้ทำภายในปีเดียวหลังอาจารย์ผมเสีย ไม่น่าเชื่อว่างานที่ผมนำเสนอจบทั้งหมดมาจากเปเปอร์ทั้งสองที่กำลังจะตีพิมพ์นี้ อาจารย์ชิเกะบอกว่านัฐพลชีวิตคุณนี่ Miracle จริงๆ ใช่ครับ มันมหัศจรรย์ บวกกับผจญภัยมากๆ

เด็กบ้านนอก เซื่องๆจากเมืองงาวคนนี้ คนที่มาจากที่มืด จะมาถึงทางสว่างในวันนี้ไม่ได้เลย หากไม่ได้รับความเมตตาจากพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย พี่น้อง ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง คนรอบข้าง และที่สำคัญภรรยาที่ดีกับเด็กน้อยที่น่ารักที่เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ให้ทำงานให้สำเร็จ (แม้จะไม่ใช่ระดับโลก) เป้าหมายต่อไปก็คือพัฒนาตัวเองด้านวิชาการที่สนใจให้ลึกมากขึ้น ช่วยเหลือพัฒนาเด็กนักศึกษา เรียนรู้และก้าวไปด้วยกัน ช่วยพัฒนาการศึกษาของบ้านเรา ผมไม่ได้คิดเลยว่าปริญญาเอกจะทำให้เราเก่งขึ้นมา มันยิ่งกลับทำให้เรารู้ว่าเรานี่ยังไม่รู้อะไรอีกเยอะ ช่างเป็นกบมานานแสนนาน เหนือฟ้ายังมีฟ้า จงร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้เพื่อทำให้โลกของเราให้น่าอยู่ นี่แหละคือปรัชญา

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คะแนนแอดมิชชั่นสาขาภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ

2014.07. 06

เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาผมเห็นว่ามีน้องๆที่มีเจตนาดีในการนำข้อมูลคะแนน Admission ของสาขาภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศมาทำเป็นกราฟเปรียบเทียบคะแนนรวมของแต่ละมหาวิทยาลัยมาเผยแพร่ อย่างไรก็ตามเรื่องของคะแนน Admission ในแต่ละสาขายังเป็นข้อถกเถียงกันเสมอ ว่าที่ไหนได้คะแนนเยอะกว่าที่ไหน เพื่อจะทำการวัดระดับว่าใครอยู่ตรงไหน เป็นที่นิยมหรือไม่ในปีนั้นๆ  ซึ่งทำให้เกิดการเข้าใจผิดในการเปรียบเทียบเสมอมา โดยที่มีการเอาคะแนนAdmission ของสาขาที่เหมือนกันมาเปรียบเทียบกันโดยตรงในกราฟเดียวกันโดยไม่ได้อธิบายสัดส่วนหรือองค์ประกอบของคะแนน หากมาตรฐานที่ใช้วัด วิชาที่ใช้วัด มีสัดส่วนเท่ากัน ก็สามารถเทียบกันโดยตรงได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีเรื่องมาตรฐานการให้เกรดในโรงเรียนเป็นตัวบ่งชี้อีก ซึ่งยังเป็นข้อถกเถียงอยู่

แค่ในสาขาภูมิศาสตร์(และภูมิสารสนเทศ) ของแต่ละมหาวิทยาลัยก็มีสัดส่วน GAT PATที่ต่างกัน แต่ละปีก็ถูกปรับเปลี่ยนไป บางมหาลัยสอบ แต่PAT-1 แต่บางที่สอบPAT-2 ด้วย  ความแตกต่างนี้ขึ้นอยู่กับหลักสูตรของแต่ละมหาวิทยาลัยที่ต้องการมุ่งเน้นด้านใด บางแห่งเน้นวิทยาศาสตร์ บางแห่งเน้นศิลปศาสตร์ สังคมศาสตร์หรืออักษรศาสตร์ ทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้โดยตรงในกราฟเดียวกัน หากนำคะแนนมาไว้ในกราฟเดียวกัน ต้องให้ข้อพึงระวังแก่ผู้ใช้อย่างมากในเรื่องสัดส่วนคะแนน ยิ่งสัดส่วน GAT สูง คะแนนรวมที่ได้จะสูงตาม ซึ่งในทางกลับกันหากสัดส่วน PAT สูง คะแนนรวมที่ได้จะน้อยลงไป

เอาแค่สัดส่วนของคะแนน GAT PAT ก็เป็นข้อถกเถียงแล้ว หากจะสรุปอย่างง่ายๆว่า สาขาภูมิศาสตร์ ม.นเรศวร คนที่สอบเข้าได้คะแนนน้อยกว่าม.ดังอย่างเทียบไม่ติด อันนี้ก็คงไม่ถูกและไม่เป็นธรรมเท่าใดนักในตัดสินใจจากข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์ (หากกล่าวว่าม.นเรศวรได้คะแนนน้อยกว่าม.ดัง อันนี้เห็นด้วยครับ แต่น้อยกว่ามากมายอันนี้คงต้องดูอีกที) เพราะ ภูมิศาสตร์ม.นเรศวรมีสอบวิชา PAT-2 ซึ่งเป็นความถนัดทางวิชาวิทยาศาสตร์ แสดงว่าสาขาภูมิศาสตร์ม.นเรศวรต้องการรับนักเรียนที่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้สอดรับกับหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อมุ่งเน้นผลิตบัณฑิตทางที่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถศึกษาโครงสร้างหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต (ภูมิศาสตร์)ได้จากเวปไซต์ภาควิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นการจะทำกราฟเปรียบเทียบคะแนนในสาขานั้นๆ ควรจะให้ข้อมูลประกอบด้วย ว่าสัดส่วนเท่าใด เพื่อไม่ให้เกิดอคติในการตัดสินใจ



คะแนนสอบแอดมิชชั่นสาขาภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ 2557



  • GAT PAT  สัดส่วนที่ใช้ในแต่ละมหาวิทยาลัยไม่เท่ากัน เช่น ม.นเรศวรและม.เกษตรใช้ GAT 10% PAT-1 10% PAT-2 30%  ส่วนจุฬาและเชียงใหม่สัดส่วนเหมือนกันคือ GAT30% PAT-1 20%
  • GAT  PAT ในแต่ละปีไม่เท่ากัน เช่น ม.เชียงใหม่ ปี 55 ใช้  GAT 40% PAT-1 10%  ส่วนปี 56 ปรับเป็น GAT 30% PAT-1 20% ทำให้สถิติคะแนนโดยรวมในปี56 ดูลดลงน้อยกว่าปี55
  • GAT PAT ของสาขาภูมิศาสตร์ กับ สาขาภูมิสารสนเทศไม่เท่ากัน


คะแนนสอบแอดมิชชั่นสาขาภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ 2555-2556

ความผันแปรของสัดส่วนคะแนนที่รับเข้ามีทกปี ฉะนั้นน้องๆควรเข้าเช็คสอบให้ดีก่อนทำการตัดสินใจว่าที่ใดเป็นอย่างไร มีความนิยมขนาดไหน ในเรื่องของคะแนน จากเวป eduzones



ตัวอย่างสัดส่วนคะแนนของสาขาวิชาภูมิศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัย


ขอฝากไว้อีกนิดว่าคะแนนสอบแอดมิชชั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการตัดสินใจว่าสถาบันไหนน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือมีความนิยมระดับใด หากแต่น้องๆควรเข้าไปดูในรายละเอียดของอาจารย์ผู้สอนในสาขานั้นๆที่น้องๆสนใจจะเข้าศึกษาต่อด้วยในเวปไซต์ของภาควิชา เพราะสาขาวิชาภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศเป็นศาสตร์ที่กว้างมาก เป็นทั้งวิทย์และศิลป์ แล้วตัวอาจารย์แต่ละท่าน ของแต่ละมหาวิทยาลัยก็มีความสนใจและความถนัดที่แตกต่างกันออกไป น้องๆอาจจะเจออาจารย์ที่มีความถนัดตามความฝันที่น้องๆอยากเรียนด้วยก็เป็นได้ ขอให้สมหวังครับ

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

รศ.ดร.เสน่ห์ ญาณสาร ด้วยความอาลัย

2014.06.25 
คนดีไม่มีวันตาย ใช้ได้เสมอสำหรับผู้ทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อแผ่นดินที่ได้อยู่อาศัย ขอไว้อาลัยแด่ท่าน รศ.ดร.เสน่ห์ ญาณสาร อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาภูมิศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รองคณบดีหลายตำแหน่ง ผู้เป็นเสมือนเสาหลักทางวิชาการของภาควิชาภูมิศาสตร์เชียงใหม่ก็ว่าได้ อาจารย์สั่งสอนศิษย์อย่างคงมาตรฐานเพื่อให้ทุกคนยกระดับตนเองให้ได้มาตรฐานของศาสตร์ภูมิศาสตร์ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่อาจารย์ท่านเคยไปศึกษาหาความรู้ ท่านจบจากภาคภูมิศาสตร์มช.รุ่นแรก รหัส 07 เป็นรุ่นก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ปีพ.ศ. 2507 ท่านเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ภาควิชาภูมิศาสตร์มช.ตอนหลังจากที่เรียนจบป.ตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แล้วท่านก็ได้ทุนของม.ธรรมศาสตร์เพื่อไปศึกษาต่อที่ออสเตรเลียในสาขาภูมิศาสตร์ ในระดับปริญญาโท แล้วกลับมาเป็นอาจารย์ที่ม.ธรรมศาสตร์อยู่พักหนึ่ง แล้วจากนั้นก็ขอย้ายกลับมาอยู่ที่ภาควิชาภูมิศาสตร์มช. ซึ่งเชียงใหม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนอันเป็นที่รักของท่านและท่านรักภาควิชาภูมิศาสตร์มากๆ (เอามาจากบทให้สัมภาษณ์ของ ผศ.ดร.นวลศิริ วงศ์ทางสวัสดิ์ ที่อ.ศราวุธ พงษ์ลี้รัตน์เป็นผู้สัมภาษณ์) จากนั้นก็เดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริการะดับโท เอก ด้วยทุนของมูลนิธิฟอร์ด ในสาขาภูมิศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันในเมืองไทยหาอาจารย์ภูมิศาสตร์ระดับมหาวิทยาลัยที่มีคุณสมบัติแบบท่านได้ยากมาก ซึ่งมีเหตุผลหลายประการ

ท่านได้เป็นทั้งรุ่นพี่ เป็นอาจารย์ ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในแกนนำอาจารย์ที่ทำให้ภาควิชาภูมิศาสตร์มช.ผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพในการเป็นส่วนหนึ่งในการรับใช้ชาติ ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีให้รุ่นน้อง ได้เดินตาม แม้ว่าจะยากมากกับสิ่งที่ท่านได้ทำให้เห็นแล้ว แต่หากได้พยายามเดินตามได้สักเสี้ยวหนึ่ง ผมเชื่อว่าชาติจะพัฒนาได้ไวแน่นอน

ท่านเป็นอาจารย์ที่มีมาตรฐานที่สูงมากๆในการสอน ตำราภูมิศาสตร์เมืองของท่านจะมีการอัพเดตทุกปี หมายความว่าท่านติดตามความก้าวหน้าของสาขาวิชาที่ท่านรับผิดชอบอยู่เสมอ และนำมาถ่ายทอดเพื่อให้ลูกศิษย์ได้มีความตื่นตัว ในเล่มนั้นมีทฤษฎีญานสารโมเดลซึ่งท่านเป็นคนคิดรวมอยู่ด้วย สุดๆไปเลยครับ ทำให้เห็นว่าจะสอนใครตัวเองจะต้องมีงานวิจัยหรือปฎิบัติจริงมาก่อนแล้ว ถึงจะสอนและแนะนำเด็กได้มันส์ 555

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านนัดสอบย่อย ผมเข้าห้องสอบเป็นคนสุดท้ายท่านเห็นผมเดินมาท่านทำท่าพยายามจะปิดประตู แต่ท่านคงสงสารผมเลยปล่อยให้ผมได้เข้าไปในห้อง แต่พอผมนั่งลงอ่านข้อสอบ ผมถึงกับผงะและตกใจกับข้อสอบลองภูมิของท่านที่ถามเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ไปไม่เป็นเลยสำหรับเด็กป.ตรี ท่านให้อธิบายและยกตัวอย่างประกอบในทฤษฎีการกระจายตัวของเมืองเขตชายฝั่งและการขนส่ง ท่านเคี่ยวเข็ญให้เด็กป.ตรีอ่านเปเปอร์โดยต้องเอาให้ท่านดูก่อนทำการแปล แล้วทุกคนต้องอ่านเพราะมีในข้อสอบ ผมจำได้ว่าผมเอาเปเปอร์เรื่องการนำเข้าข้าวจากไทยของไอวอรี่โคสท์ ในตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าประเทศนี้มีอยู่ในโลกด้วยหรือ ข้อสอบกลางภาคของท่านคะแนนเต็มร้อย มีคนได้สูงสุดไม่ถึงยี่สิบคะแนน ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เลขตัวเดียวกับจุดทศนิยม เพื่อนๆทุกคนเมื่อดูคะแนนถึงกับหัวเราะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับระบบคะแนนท่านอาจารย์ท่านนี้ ท่านเป็นคนมีวาทะศิลป์ที่สวยงาม ใช้ภาษาได้ถึงลูกถึงคนหากคนๆนั้นหรือกลุ่มนั้นท่านเห็นว่าควรถูกอบรม อาจเป็นเพราะท่านมีทักษะทางด้านภาษาที่เป็นเลิศเลยทำให้เหมือนเป็นคนแรง แต่พวกเราก็รู้ว่าท่านหวังดีและเมตตาพวกเรา


++รศ.ดร.เสน่ห์  ญาณสาร by อ.ศราวุธ พงษ์ลี้รัตน์++

ท่านเหมือนกับมีสายสืบให้รู้ความเป็นไปของลูกศิษย์ทุกคน ใครเป็นแฟนกะใคร ใครใช้ให้แฟนทำงานให้ ใครเมาใต้ซุ้ม หรือมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งจากเด็กซุ้มอื่นที่มาหาเรื่องที่ซุ้มเด็กเรา ซึ่งท่านต้องรับผิดชอบเคลียร์กับอาจารย์ของเด็กเหล่านั้น เรื่องความเป็นไปของเด็กเด่นๆท่านจะรู้หมด เพราะมีหลายครั้งท่านก็จะมาแซวในห้องเรียน 555 ทำให้รู้ว่าท่านสนใจความเป็นมาเป็นไปของเด็กทุกคน แม้แต่เรื่องของผม ท่านยังเคยมาแซวผมในห้องเรียน เพราะผมบอกกับท่านอาจารย์พูนทรัพย์ ติยายน อาจารย์ที่ปรึกษาของผมตลอดที่เรียนอยู่มช. ในตอนนั้นผมเรียนอยู่ปีสอง ผมบอกอ.พูนทรัพย์ว่าอยากไปเรียนซ่อมรถจักรยานยนต์ที่สารพัดช่าง ผมอยากมีทักษะติดตัว อ.พูนทรัพย์ก็บอกว่าดีจะได้เอามาซ่อมรถให้เพื่อนพี่น้องใต้ซุ้ม 555 เพราะผมคิดในใจตอนนั้นว่าเรียนภูมิศาสตร์ไม่มีทักษะทำอะไรได้เลย ได้แต่ท่องแร่หินดินทราย จะเอาไปทำอะไรได้ จนอาจารย์เสน่ห์มาแซวในห้องว่าทำไมไม่ออกไปเรียนเทคโนเลยอะไรประมาณนี้แล้วมองมาทางผม ผมสะกิดใจว่าอ.เสน่ห์น่าจะได้คุยกับอ.พูนทรัพย์มาแล้ว ตอนนั้นผมเป็นเด็กเรียนดีได้เหรียญทองแดงคือเกรดเฉลี่ยเกิน3.50 ในปีแรก อาจารย์ท่านก็เลยต้องจับตาเป็นพิเศษว่าเด็กคนนี้มีพัฒนาการอย่างไรบ้าง พอจะเป็นเชื้อให้กับวงการภูมิศาสตร์ได้ไหม(ตอนนี้ก็เฉลยแล้วว่ายังไม่ดีพอ แต่จะทำให้ดีกว่านี้ครับ)  วันต่อมาผมเลยไปบอกอาจารย์พูนทรัพย์ว่าผมจะไปเรียนพิมพ์ดีดที่สารพัดช่างแทนครับ ไม่ไปเรียนแล้วครับช่างซ่อมรถ 555 ถ้าวันนั้นอาจารย์เสน่ห์ไม่แซวผม วันนี้ผมก็คงไม่ได้เป็นอาจารย์ของเด็กๆที่ได้มาศึกษาในสองประเทศโทเอกอย่างนี้แน่เลย นี่แหละคือความใส่ใจและการทำงานเป็นทีมของอาจารย์ในภาควิชาภูมิศาสตร์ม.เชียงใหม่ ซึ่งผมหวังว่าสักวันหนึ่งที่ที่ผมสอนอยู่ผมจะได้ทำอย่างนี้มั่ง 555 ซึ่งมีอาจารย์ดีๆมากมายที่ใส่ใจเด็กๆและมีความรู้ใหม่ๆจากต่างประเทศ

ผมเป็นหนี้บุญคุณท่านมากมายหลายเรื่อง  เวลาสอบท่านจะมีข้อสอบให้ทำเยอะมากและหลากหลาย ให้เลือกชิมและลิ้มลองทฤษฎีนู้นนิดนี่หน่อย แล้วจะแจกลูกอมให้ด้วย ท่านแจกด้วยตัวของท่านเอง ผมรู้สึกเป็นเกียรติและปลื้มมากที่ได้ลูกอมเนยจากท่าน เพราะท่านเป็นผู้ทรงเกียรติในคำนิยามของผมจริงๆ ท่านเป็นปราชญ์ที่น่ายกย่องและควรค่าแก่การเป็นแบบอย่างให้แก่คนรุ่นหลัง ท่านสอนวิชาภูมิศาสตร์เมืองและภูมิศาสตร์เศรษฐกิจซึ่งผมไม่ถนัดเลย แต่สิ่งที่ได้จากวิชาที่ท่านสอนนั่นก็คือประสบการณ์จริงต่างแดนที่ท่านได้เล่าประกอบทฤษฎี ทำให้เห็นภาพและพอจะจินตนาการได้ แรงบันดาลใจที่ได้จากเรื่องเล่าของท่านเป็นแรงผลักดันสำคัญแรงหนึ่งที่ทำให้เด็กบ้านนอกอย่างผมได้เดินทางไกลมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องเล่าอเมริกาทำให้ผมฝันไปไกลจนสอบโทเฟลเพื่อพยายามสอบชิงทุนไปให้ได้เพื่อเล่าเรียนและเห็นบ้านเมืองตามที่ท่านได้เล่า ท่านสั่งสอนผมต่อหน้ารูปของท่านอาจารย์พูนพลตอนที่ผมได้รับทุนศ.พูนพลสองครั้ง ท่านเขียนจดหมายแนะนำตัวอันสละสลวยด้วยทักษะอันเป็นเลิศทางภาษาอังกฤษให้โดยผมรบกวนเพื่อนผม อ.ศราวุธ พงษ์ลี้รัตน์(หนุ่ย)เดินเรื่องให้ ในวันที่ผมสมัครทุนรัฐบาลเยอรมันเมื่อปี 2007 (แม้ว่าจะไม่ใช่อเมริกาก็ตามที ) จนทำให้ผมคนนี้ได้มีโอกาสเดินทางสู่โลกกว้าง ผมจะเดินทางต่อไปตามรอยที่ท่านอาจารย์ได้ทำไว้และจะทำมันให้ยิ่งๆขึ้นไปครับ คำสั่งสอนสุดท้ายของอาจารย์ที่ให้กับผมก็ในปี คศ.2007 ก่อนเดินทางไปเรียนเยอรมัน ผมโทรศัพท์ไปบอกว่าผมได้ทุนแล้วครับ อาจารย์ยินดีและบอกว่าเรียนให้จบเอกให้ได้นะ มาถึงตอนนี้ปี 2014 ผมก็ยังทำตามคำสั่งสอนของอาจารย์ไม่ได้ แต่อีกไม่กี่เดือนครับ ผมสัญญา!!!

คุณความดีที่ท่านทำอันประจักษ์      สั่งสอนหลักสว่างจิตศิษย์ทั่วหล้า
ยึดมั่นในอุดมการณ์ดั่งชีวา          เปล่งเจิดจ้าในวงการภูมิศาสตร์ไทย
อันลูกศิษย์เหมือนลูกรักที่ท่านห่วง  รักล้นทรวงส่งเสริมให้ใฝ่ศึกษา
หวังให้ศิษย์เก็บความรู้คู่ชีวา          ถึงเวลาท่านจากไกลใจสบาย

ขอกำลังใจท่านอาจารย์เสน่ห์จงอยู่กับพวกเราตลอดไป ด้วยรักและเคารพครับ ...นัฐพล มหาวิค

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

เรื่องเศร้าของวงการอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น


เรื่องเศร้าของวงการอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น

5.มีนาคม 2557

เช้าวานนี้(4 มีนาคม 2557) ผมได้รับแจ้งจากอาจารย์ในแลปว่าอาจารย์ที่ปรึกษาป.เอกผมได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยโรคมะเร็งลำไส้ที่รุมเร้ามาปีกว่า อาจารย์ผม(โปรเฟสเซอร์ ทาเคฮิโกะ ซาโตมุระ) ไปผ่าตัดเป็นครั้งที่สองเมื่อปลายปี 2556 หลังจากครั้งแรกปลายปี 2555 ป่วยมาได้อีกหนึ่งปีโรคก็กำเริบ วงการวิชาการทางด้านอุตุนิยมวิทยาและภูมิอากาศวิทยาญี่ปุ่นต้องสูญเสียบุคลากรชั้นยอดไปในวัยย่าง 60 ปี ถือว่าอายุน้อยมากเทียบกับอายุขัยเฉลี่ยของคนญี่ปุ่น อาจารย์เป็นหัวหน้าบรรณาธิการของวารสารวิชาการอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น(SOLA) 


น้ำตาผมไหลพรากเลยเมื่อทราบข่าว เสมือนเมื่อครั้งที่ผมเสียพ่อไปด้วยโรคเดียวกันตำแหน่งเดียวกันเมื่อปี 2553 ก่อนมาเรียนต่อที่นี่ได้สามเดือน อาจารย์เป็นผู้หยิบผมขึ้นมาจากพงหญ้าของประเทศด้อยพัฒนาอย่างประเทศไทย อาจารย์ช่วยสอน แนะนำ แนะแนวทางผม ให้พัฒนาตนเองให้เหมาะสมกับที่จะจบที่ม.เกียวโต อาจารย์ตีพิมพ์งานชิ้นสุดท้ายร่วมกับผมแต่ท่านก็ไม่ได้ทันเห็นมันจริงๆ เพราะกำลังอยู่ในกองบรรณาธิการเตรียมออกพิมพ์ ผมก็จะสานฝันของอาจารย์ที่ยังค้างอยู่ในพื้นที่ศึกษาอินโดจีนนี้ให้สำเร็จ ไม่งั้นผมไม่มีหน้าไปพบอาจารย์ได้ครับ ผมจะนำสิ่งดีๆที่อาจารย์ได้สั่งสอน ไปเผยแพร่ให้เด็กๆได้เป็นแนวทาง ผมยึดแนวทางการเป็นสุภาพบุรุษดั่งที่อาจารย์ได้ปฎิบัติเป็นตัวอย่าง ผมจะยึดหลักแนวทางการทำวิจัยที่ให้ถึงแก่นรอบด้าน ผมจะเป็นคนสมถะ แต่เน้นแก่นแท้ของวิชาการ ผมจะเป็นคนที่อยู่เพื่อให้ผู้อื่นพึ่ง ผมจะนำแนวทางเหล่านี้ไปพัฒนาบ้านเมืองของผมเท่าที่ผมจะทำได้เต็มกำลังของผม

ในงานศพอาจารย์นั้น อาจารย์สั่งครอบครัวอาจารย์ว่าไม่ให้รับซองเงินช่วยเหลือใดๆจากแขกผู้มางานศพเลย โพสด็อกในแลปบอกว่าไม่ค่อยเห็นในญี่ปุ่น เพราะการจัดงานศพในญี่ปุ่นตั้งเช่าสถานที่ อาคาร ค่าพิธีกรรม อาจมากกว่าล้านเยนเค้าว่ามานะ (จัดแค่สองวัน) แสดงให้เห็นว่าอาจารย์ไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนกับงานศพของเค้าจริงๆ แม้กระทั่งในตอนที่อาจารย์ป่วยเข้าโรงพยาบาลที่ม.เกียวโต อาจารย์ก็ไม่ยอมรับดอกไม้เยี่ยมไข้จากใครเลย เพราะเค้าถือว่าสิ้นเปลืองทั้งผู้ให้และผู้รับ เราอ้อนวอนอาจารย์รองในแลป โปรเฟสเซอร์ชิเกะตั้งหลายครั้ง จนกระทั่งเค้ายอม บอกว่าเค้าจะถือเอาไปให้เอง เพราะอาจารย์ไม่ยอมให้ใครไปเยี่ยมและเห็นสภาพอาจารย์ด้วย อันนี้ผมเข้าใจ เพราะพ่อผมก็เคยเป็น

ผมท้อมากจนแทบไม่อยากทำอะไรในวันที่ทราบข่าว หากแต่สิ่งที่ทำให้ผมมีกำลังใจเดินต่อไปในวันที่ไม่มีอาจารย์ก็คือ การได้รับความช่วยจากอาจารย์ในแลปท่านอื่นที่เป็นรุ่นพี่และเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ของผมด้วย พูดง่ายๆมีพ่อคนเดียวกัน เค้าบอกยูต้องสู้เพื่ออ.ซาโตมุระ ไอจะคอยช่วยยู ส่วนพี่น้องในแลปที่เจอกันในงานศพอาจารย์ก็บอกว่า นัฐพล ยูต้องเอาปริญญามาให้ได้แล้วอาจารย์จะแฮปปี้ อีกคนบอกว่ายูต้องทำเล่มให้จบเขียนเปเปอร์ที่สองให้เสร็จแล้วเอาไปให้ครอบครัอาจารย์นะในวันที่ยูจะกลับไทย ส่วนที่ได้ใจสุดๆคือ คณบดีผมที่ไทย คนที่เขียนจดหมายรับรองให้ผมก่อนมา ผมได้แจ้งว่าอาจารย์ผมเสีย คณบดีบอกเสียใจด้วย แต่ยูต้องก้าวต่อไป ทำมันให้จบ อธิการเราต้องเข้าใจว่าทำไมคุณถึงจบช้า นี่แสดงถึงภาวะความเป็นผู้นำและความเก๋าเกมในการอ่านใจคนว่าคนคนนั้นต้องการอะไร เค้าต้องการกำลังใจและความเข้าใจในการเดินทางต่อ แค่สองประโยคก็ทำให้โลกที่กำลังมืดมิดกลับมาสว่างอีกครั้ง...