วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557
เรื่องเศร้าของวงการอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น
เรื่องเศร้าของวงการอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น
5.มีนาคม 2557
เช้าวานนี้(4 มีนาคม 2557) ผมได้รับแจ้งจากอาจารย์ในแลปว่าอาจารย์ที่ปรึกษาป.เอกผมได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยโรคมะเร็งลำไส้ที่รุมเร้ามาปีกว่า อาจารย์ผม(โปรเฟสเซอร์ ทาเคฮิโกะ ซาโตมุระ) ไปผ่าตัดเป็นครั้งที่สองเมื่อปลายปี 2556 หลังจากครั้งแรกปลายปี 2555 ป่วยมาได้อีกหนึ่งปีโรคก็กำเริบ วงการวิชาการทางด้านอุตุนิยมวิทยาและภูมิอากาศวิทยาญี่ปุ่นต้องสูญเสียบุคลากรชั้นยอดไปในวัยย่าง 60 ปี ถือว่าอายุน้อยมากเทียบกับอายุขัยเฉลี่ยของคนญี่ปุ่น อาจารย์เป็นหัวหน้าบรรณาธิการของวารสารวิชาการอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น(SOLA)
น้ำตาผมไหลพรากเลยเมื่อทราบข่าว เสมือนเมื่อครั้งที่ผมเสียพ่อไปด้วยโรคเดียวกันตำแหน่งเดียวกันเมื่อปี 2553 ก่อนมาเรียนต่อที่นี่ได้สามเดือน อาจารย์เป็นผู้หยิบผมขึ้นมาจากพงหญ้าของประเทศด้อยพัฒนาอย่างประเทศไทย อาจารย์ช่วยสอน แนะนำ แนะแนวทางผม ให้พัฒนาตนเองให้เหมาะสมกับที่จะจบที่ม.เกียวโต อาจารย์ตีพิมพ์งานชิ้นสุดท้ายร่วมกับผมแต่ท่านก็ไม่ได้ทันเห็นมันจริงๆ เพราะกำลังอยู่ในกองบรรณาธิการเตรียมออกพิมพ์ ผมก็จะสานฝันของอาจารย์ที่ยังค้างอยู่ในพื้นที่ศึกษาอินโดจีนนี้ให้สำเร็จ ไม่งั้นผมไม่มีหน้าไปพบอาจารย์ได้ครับ ผมจะนำสิ่งดีๆที่อาจารย์ได้สั่งสอน ไปเผยแพร่ให้เด็กๆได้เป็นแนวทาง ผมยึดแนวทางการเป็นสุภาพบุรุษดั่งที่อาจารย์ได้ปฎิบัติเป็นตัวอย่าง ผมจะยึดหลักแนวทางการทำวิจัยที่ให้ถึงแก่นรอบด้าน ผมจะเป็นคนสมถะ แต่เน้นแก่นแท้ของวิชาการ ผมจะเป็นคนที่อยู่เพื่อให้ผู้อื่นพึ่ง ผมจะนำแนวทางเหล่านี้ไปพัฒนาบ้านเมืองของผมเท่าที่ผมจะทำได้เต็มกำลังของผม
ในงานศพอาจารย์นั้น อาจารย์สั่งครอบครัวอาจารย์ว่าไม่ให้รับซองเงินช่วยเหลือใดๆจากแขกผู้มางานศพเลย โพสด็อกในแลปบอกว่าไม่ค่อยเห็นในญี่ปุ่น เพราะการจัดงานศพในญี่ปุ่นตั้งเช่าสถานที่ อาคาร ค่าพิธีกรรม อาจมากกว่าล้านเยนเค้าว่ามานะ (จัดแค่สองวัน) แสดงให้เห็นว่าอาจารย์ไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนกับงานศพของเค้าจริงๆ แม้กระทั่งในตอนที่อาจารย์ป่วยเข้าโรงพยาบาลที่ม.เกียวโต อาจารย์ก็ไม่ยอมรับดอกไม้เยี่ยมไข้จากใครเลย เพราะเค้าถือว่าสิ้นเปลืองทั้งผู้ให้และผู้รับ เราอ้อนวอนอาจารย์รองในแลป โปรเฟสเซอร์ชิเกะตั้งหลายครั้ง จนกระทั่งเค้ายอม บอกว่าเค้าจะถือเอาไปให้เอง เพราะอาจารย์ไม่ยอมให้ใครไปเยี่ยมและเห็นสภาพอาจารย์ด้วย อันนี้ผมเข้าใจ เพราะพ่อผมก็เคยเป็น
ผมท้อมากจนแทบไม่อยากทำอะไรในวันที่ทราบข่าว หากแต่สิ่งที่ทำให้ผมมีกำลังใจเดินต่อไปในวันที่ไม่มีอาจารย์ก็คือ การได้รับความช่วยจากอาจารย์ในแลปท่านอื่นที่เป็นรุ่นพี่และเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ของผมด้วย พูดง่ายๆมีพ่อคนเดียวกัน เค้าบอกยูต้องสู้เพื่ออ.ซาโตมุระ ไอจะคอยช่วยยู ส่วนพี่น้องในแลปที่เจอกันในงานศพอาจารย์ก็บอกว่า นัฐพล ยูต้องเอาปริญญามาให้ได้แล้วอาจารย์จะแฮปปี้ อีกคนบอกว่ายูต้องทำเล่มให้จบเขียนเปเปอร์ที่สองให้เสร็จแล้วเอาไปให้ครอบครัวอาจารย์นะในวันที่ยูจะกลับไทย ส่วนที่ได้ใจสุดๆคือ คณบดีผมที่ไทย คนที่เขียนจดหมายรับรองให้ผมก่อนมา ผมได้แจ้งว่าอาจารย์ผมเสีย คณบดีบอกเสียใจด้วย แต่ยูต้องก้าวต่อไป ทำมันให้จบ อธิการเราต้องเข้าใจว่าทำไมคุณถึงจบช้า นี่แสดงถึงภาวะความเป็นผู้นำและความเก๋าเกมในการอ่านใจคนว่าคนคนนั้นต้องการอะไร เค้าต้องการกำลังใจและความเข้าใจในการเดินทางต่อ แค่สองประโยคก็ทำให้โลกที่กำลังมืดมิดกลับมาสว่างอีกครั้ง...
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น